Thursday, November 26, 2015

[อังกฤษ 17] Present Perfect Tense VS Past Simple Tense

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ เป็น grammar อีกแล้วนะคะ ซึ่งจะพูดถึง Present Perfect Tense VS Past Simple Tense นะคะ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้พูดถึง Past Simple Tense ไปแล้ว จริงๆ จากการให้แบบฝึกหัดเกี่ยวกับ Past Simple Tense ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีคุณผู้ฟัง/คุณผู้อ่าน แนะนำมาว่าเพื่อให้เข้าใจแบบฝึกหัดมากขึ้นควรจะอธิบาย Present Perfect Tense ด้วยนะคะ วันนี้ปิ่นก็เลยจะพูดเพิ่มเติมด้วยการเปรียบเทียบการใช้ Present Perfect Tense กับ Past Simple Tense ค่ะ
สำหรับ Past Simple Tense เราจะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีตนะคะ แต่ถ้าเป็น Present Perfect Tense เราจะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและยังเป็นความจริงในปัจจุบัน หรือยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบันนะคะ
เมื่อพูดถึง Present Perfect Tense “เวลาที่ใช้ในประโยค” จะเป็นการลิงค์มาที่ปัจจุบัน เช่น this week, this month, this year ฯลฯ ส่วนกริยาที่ใช้ในประโยคจะเป็น V. to have + กริยาช่องที่ 3
เช่น I have watched 3 movies this week.
สำหรับ Past Simple Tense เวลาที่ใช้จะเป็นอดีต เช่น last week, last month, last year ฯลฯ
เช่น I watched 3 movies last week.
               
สำหรับตัวอย่างประโยคอื่นๆ นะคะ
(Present Perfect Tense) I have completed my graduation. or I have done my diploma. (Time is not specified.)
(Past Simple Tense) I completed my graduation in 2013. (Now, 2013 is the past. Time is specified especially in the past.)

(Present Perfect Tense) My uncle has gone to New York 5 times. (My uncle’s still alive.)
(Past Simple Tense) My uncle went to New York 5 times. (My uncle passed away or my uncle no longer exists.)
เปรียบเทียบสองประโยคนี้คือ Present Perfect Tense ใช้ในกรณีที่ประธานของประโยคยังคงมีชีวิตอยู่ สำหรับ Past Simple Tense ใช้ในกรณีที่ประธานของประโยคเสียชีวิตแล้ว แต่เราต้องการพูดถึงในสิ่งที่เค้าเคยทำ เมื่อเราพูดถึงสิ่งที่คนที่เสียชีวิตแล้วเคยทำไม่ว่าอะไรก็ตาม >> ให้ใช้ Past Simple Tense เท่านั้น

(Present Perfect Tense) I’ve lived in London for 7 years. (Now I still live in London.)
(Past Simple Tense) I lived in London for 7 years. (I no longer live in London. I live in different country.)
ในกรณีนี้การใช้ Past Simple Tense หมายถึง กิจกรรมที่เกิดขึ้นนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว จากตัวอย่างประโยคคือ ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ที่ลอนดอนอีกต่อไป

(Present Perfect Tense) I’ve not seen John today. ตรงนี้กริยาจะเป็น V. to have + กริยาช่องที่ 3 และเวลาที่บ่งชี้ในประโยคที่แสดงว่าเป็นปัจจุบันก็คือ today นั่นเองนะคะ
(Past Simple Tense) I didn’t see him yesterday. จากประโยคนี้ did not หรือ didn’t จะตามด้วยกริยาช่องที่ 1 นะคะ และเวลาที่บ่งชี้ในประโยคก็คือ  yesterday นั่นเองนะคะ

(Present Perfect Tense) I’ve never eaten Chinese food. “never” ในที่นี้หมายถึงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคือยังไม่เคยกินอาหารจีน แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่เคยต่อไปในอนาคต ซึ่งใน Present Perfect Tense เราจะเห็นที่ใช้บ่อยๆ คือ never, ever, hardly, so far เพราะคำเหล่านี้จะหมายถึงว่า ตั้งแต่อดีตจนถึง ณ ปัจจุบัน
(Past Simple Tense) I didn’t have pizza last night. เวลาที่บ่งชี้ในประโยคก็คือ  last night

(Present Perfect Tense) Have you ever watched horror film?
(Past Simple Tense) Did you watch the episode last night? ในที่นี้ did จะตามด้วยกริยาช่องที่ 1 นะคะ เวลาที่บ่งชี้ในประโยคก็คือ  last night

(Present Perfect Tense) Have you read the book?
(Past Simple Tense) Did you read the newspaper yesterday?
สำหรับ 2 ประโยคนี้ คำอธิบายก็คล้ายๆ กับ 2 ประโยคที่ผ่านมาค่า

(Present Perfect Tense) How long have you been engaged? ใช้คำถาม how เพราะเรากำลังถามถึงช่วงเวลาของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นช่วงเวลา ตั้งแต่สิ่งนั้นเกิดจนถึงปัจจุบัน
(Past Simple Tense) When did you get engaged? ใช้คำถาม when เพราะเรากำลังถามเวลาที่เฉพาะเจาะจงที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “A leopard can’t change his spots” means “You can’t change who you are”.  เสือดาวเปลี่ยนลายจุดบนตัวมันออกไปไม่ได้ ซึ่งเอาเปรียบกับมนุษย์ว่า นิสัยคนเราบางทีก็เปลี่ยนกันยาก นาน ๆ ไปก็ออกลายอยู่ดี, คนเรามันเปลี่ยนกันไม่ได้ อะไรประมาณนี้น่ะค่า

และสำหรับคำศัพท์เกี่ยวกับ อย. ที่เอามาฝากก็คือ GMP คำนี้ได้ยินกันบ่อย ปิ่นว่าส่วนใหญ่น่าจะรู้จักกันดี แต่จะเอามาฝากเผื่อว่าใครยังไม่รู้นะคะ GMP ย่อมาจาก Good Manufacturing Practice ซึ่งก็คือ หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต พูดง่ายๆ คือ การจะผลิตผลิตภัณฑ์ เช่น ยา หรือ อาหาร ฯลฯ ก็จะใช้ GMP นี้มากำกับกระบวนการผลิต เพื่อให้มั่นในว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีความปลอดภัย และมีคุณภาพมาตรฐาน นั่นเองนะคะ

อ้างอิง :
https://www.youtube.com/watch?v=hqX8gANPN-E&feature=youtu.be
https://www.youtube.com/watch?v=o9sBGcRocog&feature=youtu.be

Thursday, November 19, 2015

[อังกฤษ 16] Simple Past Tense หรือ Past Simple Tense

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ เป็น grammar นะคะ ซึ่งจะพูดถึง Simple past tense เป็นอะไรที่ภาษาไทยไม่มีนะคะ ก็อาจจะยากนิดนึง แต่วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันค่า
ซึ่งกริยาที่ใช้ใน Simple past tense จะเป็นกริยาช่องที่ 2 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกริยาช่องหนึ่งที่เติม “ed” เช่น cooked, baked, cleaned, worked แต่ก็มี Irregular verb ที่เป็นการผันโดยการเปลี่ยนรูป เช่น ran (ช่องที่ 1 คือ run), ate (ช่องที่ 1 คือ eat)
โดยทั่วไปแล้วจะมีการสับสนระหว่าง Simple past tense กับ Present perfect tense หลายคนอาจจะสงสัยว่าเมื่อไหร่ควรจะใช้ Simple past tense และเมื่อไหร่ที่ควรใช้ Present perfect tense
วันนี้ก็จะมีเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้รู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้ Simple past tense นั่นก็คือ การใช้ Time markers เช่น Yesterday, The other day, Last week, Last month, Last year, When, Just now, Ago, in……..
ตัวอย่างประโยค …………….., I ate two cookies.
                  หรือ Two years ago, I went to Thailand.
                   หรือ I ate two cookies, when I was 8 years old.
                   หรือ In 1990, I went to Thailand.
ซึ่งเวลาที่เราพูดถึงเวลาใน Simple past tense เราจะเจาะจงถึงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต เราจะไม่ได้พูดถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในอดีตนะคะ
หลังจากนี้มาลองทำแบบฝึกหัดกันนะคะ
1)      Yesterday, I …………………………. a movie. (see)
2)      Just now, I …………………………. my homework. (do)
3)      I …………………………. to China before. (go)
4)      Last week, I …………………………. shopping. (go)
5)      At the moment, I …………………………. to school. (go)
6)      I never …………………………. French. (learn)
7)      Four years ago, I …………………………. to Toronto. (move) >> ago ใช้พูดถึง certain amount of time

( Answer : 1) = saw 2) = did 3) = have been 4) = went 5) = go 6) = I’ve never learned 7) = moved )


และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “A blessing in disguise” means “Something good that is not recognized at first”.  แปลตรงๆ คือ พรที่ซ่อนเร้น แต่ความหมายที่แท้จริงคือ อะไรที่ในตอนแรกเราไม่ได้มองว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่สุดท้ายสิ่งนั้นกลายเป็นเรื่องที่ดีหรือพร นั่นเอง 

และสำหรับคำศัพท์เกี่ยวกับ อย. ที่เอามาฝากก็คือ ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกกฎหมาย นะคะ
พระราชบัญญัติ = Act เช่น พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ก็จะใช้ว่า Food Act B.E. 2522 พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ก็จะใช้ว่า Cosmetic Act B.E. 2558
กฎกระทรวง = Ministerial Regulations
ประกาศกระทรวง = Ministerial Announcements

อ้างอิง
1. https://www.youtube.com/watch?v=vBQyaHAHmmQ&feature=youtu.be
2. https://www.facebook.com/AjarnAdamBradshaw/posts/274662392544470
Google