เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ คือ Passive Voice เป็นประโยคที่ประธานในประโยคถูกกระทำนะคะ
ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องใช้ Passive Voice ด้วย
ซึ่งจริงๆ เหตุผลสำหรับการใช้ Passive Voice หลายเหตุผลด้วยกันนะคะ
มาดูกันเลยค่า
เหตุผลข้อ 1 กรณีที่ไม่รู้ว่าประธานเป็นใครเราก็จะใช้ประโยค
Passive Voice แต่ถ้าทุกคนรู้ชัดเจนอยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำเราก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยซ้ำ
โดยใช้ประโยค Passive Voice ไปเลย หรือถ้าประธานไม่สำคัญสำหรับประโยคของเรา
เราก็เอาประธานออก แล้วใช้ประโยค Passive Voice ตัวอย่างประโยคเช่น
- The building was vandalized. (ตึกถูกทำลาย)
-
The flowers were delivered on time. (ดอกไม้ถูกส่งไปตรงเวลา)
-
The roads were fixed quickly. (ถนนถูกซ่อมอย่างรวดเร็ว)
-
The airplane was invented in the early 20th century. (เครื่องบินถูกคิดค้นในช่วงต้นของศตวรรษที่
20)
จาก 4 ประโยคที่เขียนมาจะเห็นว่าประโยคเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครทำ
เหตุผลข้อ 2 เป็นการทำให้ประโยคมีความหลากหลาย
He
did A then he did B after that he did C. ถึงแม้ว่าจะเป็นประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
แต่สิ่งที่ตามมาก็คือมันจะทำให้ฟังดูน่าเบื่อนะคะ และฮีโร่ที่จะเข้ามาช่วยก็คือการแต่งประโยคเป็น
Passive Voice นั่นเองค่า
การใช้ Passive Voice จะทำให้ประโยคดูหลากหลายน่าสนใจมากขึ้น
ลองมาปรับประโยคกันค่ะ เมื่อปรับแล้วจะได้ประโยคแบบนี้ค่า He did A. C
wasn’t done until he had completed B.
และเหตุผลข้อสุดท้าย คือ เป็นการเปลี่ยนความสนใจ
โดยเปลี่ยนจากกรรมในประโยคแรกให้มาเป็นประธานในประโยคที่สอง และเป็นการเชื่อมโยงจากประโยคหนึ่ง
ไปยังอีกประโยคหนึ่ง มาดูตัวอย่างกันนะคะ
Coca-cola
was invented by a Pharmacist named John Pemberton. (ถ้าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับ
Coca-cola ข้อมูล คือ John Pemberton
เป็นคนคิดค้น Coca-cola แต่ในที่นี้พระเอกคือ Coca-cola ดังนั้นจึงยกเอา Coca-cola มาเป็นประธานของประโยค) His
original recipe contained cocaine. (ประโยคที่ 2 นี้เป็น Active Voice หลังจากที่ประโยคแรกทิ้งท้ายไว้ที่
John Pemberton ประโยคต่อมาก็เลยพูดถึงเขาต่อ) Which
is why the drink was name Coca-cola. (ในประโยคที่ 3 ต้องการพูดถึงไอเดียใหม่ จึงมีการใช้ Passive Voice)
Today Coca-cola is a global brand that is consumed by millions of
people. (เราจะพูดได้ว่า Coca-cola is a global brand
that millions of people consume แต่สิ่งที่เราต้องการเน้นคือ consumption
คือการบริโภค ดังนั้นเราจึงแต่งประโยคเป็น Passive Voice)
และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้
ก็คือ “take for granted หรือ take someone or something for
granted” ซึ่งแปลได้หลายความหมายด้วยกันนะคะ
take for granted
1. การเข้าใจเอาเองว่าเป็นเช่นนั้น เช่น I
took it for granted that they'd offer to pay for their share but I was wrong. (ฉันเข้าใจไปเองว่าเขาได้เสนอว่าจะจ่ายเงินแต่ฉันเข้าใจผิด)
2. การให้คุณค่ากับบางสิ่งน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะรู้สึกเคยชินกับบางสิ่ง
เช่น If we work, we take for granted that we must get paid. (ถ้าเราทำงาน ก็เป็นเรื่องปกติที่เราต้องได้รับค่าตอบแทน)
take someone or something for granted
การที่เราคิดว่าสิ่งนั้น หรือคนคนนั้น
จะอยู่กับเราไปตลอด ทำให้เราไม่เห็นคุณค่า หรือเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นลดลงไป เช่น I
wish you didn't take me for granted. (ฉันหวังว่าคุณคงจะเห็นค่าของฉันนะ)
อ้างอิง :
https://youtu.be/C6pHfjH0Efg
http://idioms.thefreedictionary.com/take+for+granted