Thursday, July 14, 2016

[อังกฤษ 31] Passive Voice

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ คือ Passive Voice เป็นประโยคที่ประธานในประโยคถูกกระทำนะคะ ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องใช้ Passive Voice ด้วย ซึ่งจริงๆ เหตุผลสำหรับการใช้ Passive Voice หลายเหตุผลด้วยกันนะคะ มาดูกันเลยค่า

เหตุผลข้อ 1 กรณีที่ไม่รู้ว่าประธานเป็นใครเราก็จะใช้ประโยค Passive Voice แต่ถ้าทุกคนรู้ชัดเจนอยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำเราก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยซ้ำ โดยใช้ประโยค Passive Voice ไปเลย หรือถ้าประธานไม่สำคัญสำหรับประโยคของเรา เราก็เอาประธานออก แล้วใช้ประโยค Passive Voice ตัวอย่างประโยคเช่น
- The building was vandalized. (ตึกถูกทำลาย)
- The flowers were delivered on time. (ดอกไม้ถูกส่งไปตรงเวลา)
- The roads were fixed quickly. (ถนนถูกซ่อมอย่างรวดเร็ว)
- The airplane was invented in the early 20th century. (เครื่องบินถูกคิดค้นในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20)
จาก 4 ประโยคที่เขียนมาจะเห็นว่าประโยคเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครทำ

เหตุผลข้อ 2 เป็นการทำให้ประโยคมีความหลากหลาย
He did A then he did B after that he did C. ถึงแม้ว่าจะเป็นประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือมันจะทำให้ฟังดูน่าเบื่อนะคะ และฮีโร่ที่จะเข้ามาช่วยก็คือการแต่งประโยคเป็น Passive Voice นั่นเองค่า
การใช้ Passive Voice จะทำให้ประโยคดูหลากหลายน่าสนใจมากขึ้น ลองมาปรับประโยคกันค่ะ เมื่อปรับแล้วจะได้ประโยคแบบนี้ค่า He did A. C wasn’t done until he had completed B. 

และเหตุผลข้อสุดท้าย คือ เป็นการเปลี่ยนความสนใจ โดยเปลี่ยนจากกรรมในประโยคแรกให้มาเป็นประธานในประโยคที่สอง และเป็นการเชื่อมโยงจากประโยคหนึ่ง ไปยังอีกประโยคหนึ่ง มาดูตัวอย่างกันนะคะ
Coca-cola was invented by a Pharmacist named John Pemberton. (ถ้าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Coca-cola ข้อมูล คือ John Pemberton เป็นคนคิดค้น Coca-cola แต่ในที่นี้พระเอกคือ Coca-cola ดังนั้นจึงยกเอา Coca-cola มาเป็นประธานของประโยค) His original recipe contained cocaine. (ประโยคที่ 2 นี้เป็น Active Voice หลังจากที่ประโยคแรกทิ้งท้ายไว้ที่ John Pemberton ประโยคต่อมาก็เลยพูดถึงเขาต่อ) Which is why the drink was name Coca-cola. (ในประโยคที่ 3 ต้องการพูดถึงไอเดียใหม่ จึงมีการใช้ Passive Voice) Today Coca-cola is a global brand that is consumed by millions of people. (เราจะพูดได้ว่า Coca-cola is a global brand that millions of people consume แต่สิ่งที่เราต้องการเน้นคือ consumption คือการบริโภค ดังนั้นเราจึงแต่งประโยคเป็น Passive Voice)


และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “take for granted หรือ take someone or something for granted” ซึ่งแปลได้หลายความหมายด้วยกันนะคะ
take for granted
1. การเข้าใจเอาเองว่าเป็นเช่นนั้น เช่น I took it for granted that they'd offer to pay for their share but I was wrong. (ฉันเข้าใจไปเองว่าเขาได้เสนอว่าจะจ่ายเงินแต่ฉันเข้าใจผิด)
2. การให้คุณค่ากับบางสิ่งน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะรู้สึกเคยชินกับบางสิ่ง เช่น If we work, we take for granted that we must get paid. (ถ้าเราทำงาน ก็เป็นเรื่องปกติที่เราต้องได้รับค่าตอบแทน)
take someone or something for granted
การที่เราคิดว่าสิ่งนั้น หรือคนคนนั้น จะอยู่กับเราไปตลอด ทำให้เราไม่เห็นคุณค่า หรือเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นลดลงไป เช่น I wish you didn't take me for granted. (ฉันหวังว่าคุณคงจะเห็นค่าของฉันนะ)


อ้างอิง :
          https://youtu.be/C6pHfjH0Efg
          http://idioms.thefreedictionary.com/take+for+granted

Thursday, July 7, 2016

[อังกฤษ 30] Mixed Conditionals

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ คือ Mixed Conditionals คือ ประโยคเงื่อนไข ที่มี If อยู่ในประโยคนะคะ
ซึ่งโดยทั่วไปจะมีประโยคเงื่อนไข 4 แบบด้วยกัน ก็คือ
แบบที่ 1 If I won the lottery, I would buy a house. >> unreal future or present ตรงข้ามกับเป็นจริงในปัจจุบันหรืออนาคต จากตัวอย่างประโยคหมายความว่า ถ้าฉันถูกลอตเตอรี่ ฉันจะซื้อบ้าน ซึ่งฉันไม่ได้ถูกลอตเตอรี่ ซึ่งเป็นการพูดที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงในปัจจุบัน (โครงสร้างของประโยค : If Past Simple Tense, Future in the past ก็คือ เปลี่ยน will เป็น would + V1)
แบบที่ 2 If I had known she was coming, I would have come too. >> unreal past ไม่เป็นความจริง เพราะกำลังพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ซึ่งประโยคนี้หมายความว่า ถ้าฉันรู้ว่าเธอกำลังมา ฉันก็คงจะมาด้วย ซึ่งพูดถึงเรื่องที่เกิดในอดีต ที่ไม่สามารถจะกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว  (โครงสร้างของประโยค : If Past Perfect Tense, would + have + V3)
แบบที่ 3 If you boil water, it evaporates. ถ้าฉันต้มน้ำ มันก็จะกลายเป็นไอ >> real conditional ใช้พูดเกี่ยวกับความเป็นจริง (โครงสร้างของประโยค : If Present Simple Tense, Present Simple Tense)
แบบที่ 4 If you study hard, you will pass the test. ถ้าเธอเรียนอย่างหนัก ก็จะสอบผ่าน >> real situation คือ ถ้าเราทำสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งจะเกิด ซึ่งเป็นความจริง (โครงสร้างของประโยค : If Present Simple Tense, will + V1)

แต่สำหรับ Mixed Conditionals จะเป็นการผสมผสานของแต่ละแบบเข้ามาผสมปนเป ซึ่งเหมือนจะเป็นข้อยกเว้นของ 4 แบบข้างต้น โดยสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น คือ การสังเกตจาก Context บริบทรอบๆ คำที่ใช้ ตัวอย่างประโยคคือ
If you didn’t study computers in high school, you might find this course difficult. >> ประโยคแรกเป็น Past Simple Tense ประโยคต่อมาเป็น future เมื่อมาดูความหมายก็ดู make sense คือ ถ้าเราไม่ได้เรียนคอมพิวเตอร์ในอดีต เราก็จะพบว่าคอร์สนี้เป็นคอร์สที่ยาก
If you didn’t want to buy that shirt, you shouldn’t have. (bought it) >> ในประโยคนี้คือได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตคือได้มีการซื้อเสื้อไปแล้ว คือ จริงๆ ถ้าคุณไม่ต้องการซื้อ คุณก็ไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ คือ จริงๆ คุณไม่จำเป็นต้องซื้อ แต่คุณก็ซื้อมันไปแล้ว โดยคุณไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ (If Past Simple Tense, Present Perfect)
If you go, I will go too. (If Present Simple Tense, will + V1) แม้ในประโยคแรกจะเป็น Present Simple แต่ในความหมายนี้เป็นความหมายในเชิง Future คือ ถ้าคุณไป อาจจะไปงานปาร์ตี้สัปดาห์หน้า ฉันก็จะไปด้วย
If I had won the competition, I would have a great job now.  (If Past Perfect Tense, would + V1 + now)
ถ้าฉันชนะการแข่งขัน (ในอดีต) ฉันคงจะได้งานที่ดีในตอนนี้ แต่ความเป็นจริงคือฉันไม่ได้ชนะ และฉันก็ไม่ได้งานที่ดี (I would have but I don’t) ประโยคท้ายสามารถพูดอีกอย่างได้ว่า I would land a great job now. ซึ่ง land แปลว่า get
If you will please follow me, I will show you to your table. หรือ If you would, follow me please, I will show you to your table. >> อันนี้ไม่ใช่ conditional แต่เป็น a very formal expression คือ การพูดแบบสุภาพ ซึ่งจะมีการใช้ในร้านอาหาร (a very fancy restaurant) เป็นการพูดแบบสุภาพของ “follow me”
If it will help my case, I will take the test. ประโยคแรก คือ ผล (result), ส่วนประโยคที่ 2 คือ ส่วนที่จะทำเพื่อให้ได้ผล (action) ซึ่งก็คือ เหตุ นั่นเอง >> หรือ If it helps, I will take the test. ซึ่งอันนี้เป็น regular condition
If I knew how to cook, I would have made you dinner instead. บางทีเราอาจจะพาเพื่อนไปกินข้าว แล้วอาหารไม่อร่อย แล้วเพื่อนก็อาจจะอารมณ์เสีย แต่เพราะเราทำอาหารไม่เป็นเราเลยพาเพื่อนไปกินที่ร้านอาหาร แล้วเราก็มโนต่อว่า ถ้าฉันรู้วิธีทำอาหาร ฉันก็คงทำอาหารเย็นให้เธอทานแล้ว ซึ่งอันนี้เป็น unreal situation  
If I weren’t so busy, I would go with you. ถ้าฉันไม่ยุ่ง ฉันก็คงจะไปกับคุณ แต่ความเป็นจริงคือ ฉันยุ่งมาก ฉันก็เลยไม่ได้ไปกับคุณ
If my parents weren’t going away next weekend, I would have invited you yesterday. ประโยคแรกใช้ Past simple แต่กำลังพูดถึง Future ประโยคต่อมาพูดถึงสิ่งที่ would have done เมื่อวาน >> ซึ่งถ้าสิ่งนี้ไม่เป็นจริงสำหรับสุดสัปดาห์หน้า (If this weren’t true about next weekend) ซึ่งในที่นี้เมื่อวานที่ฉันพูดกับเธอและฉันไม่ได้เชิญเธอมา ก็เพราะฉันรู้ว่าเดี๋ยวพ่อแม่ฉันก็ไป ซึ่งก็คือ If they weren’t going, I would have invite you yesterday
               

และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “take it easy” ค่ะ ซึ่ง  “take it easy” มี 3 ความหมายด้วยกันนะคะ อันแรกคือใช้ในกรณีบอกลา มีความหมายประมาณว่าดูแลตัวเองด้วย
ส่วนความหมายที่ 2 คือ บอกว่าให้ทำอะไรแบบนุ่มนวลนิดนึง เช่น เราอาจจะให้เพื่อนช่วยยกเปียโน แต่เพื่อนเค้าไม่ค่อยได้สนใจว่าเปียโนจะหักมั้ย คือ ยกแบบไม่ระวังอ่ะนะคะ เราก็จะใช้ว่า Come on. Take it easy! It’s not made of steel, you know. คือ ยกระวังๆ หน่อย เปียโนไม่ใช่เหล็กนะ เดี๋ยวมันอาจจะหัก อะไรประมาณนี้นะคะ
ส่วนความหมายสุดท้ายคือ Calm down.; Relax.; Do not get excited. ผ่อนคลายนิดนึง อย่าตื่นเต้นค่า

อ้างอิง :  https://youtu.be/hk1AvFgOsSo
http://idioms.thefreedictionary.com/take+it+easy

Google