Thursday, September 1, 2016

[อังกฤษ 33] Culinary Vocabulary or Kitchen Vocabulary

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ เอาใจคนที่ชอบทำอาหาร และหลงใหลอาหารโดยเฉพาะค่า ซึ่งนี่ก็เป็นคำศัพท์ที่เกี่ยวกับการทำอาหาร หรือ Culinary Vocabulary or Kitchen Vocabulary ค่า มีหลายคำด้วยกันนะคะ เช่น
Culinary school >> โรงเรียนสอนการทำอาหาร
Chef คือ คนที่เรียนเกี่ยวกับการทำอาหารมานะคะ เป็นคนที่ทำงานร้านอาหารมาหลายที่ และฝึกฝนการทำอาหารมาเป็นเวลานาน เป็นคนที่มีประกาศนียบัตร (diploma) และเป็นหัวหน้าครัวในร้านอาหารแห่งใดแห่งหนึ่ง
Cook คือ คนที่เริ่มทำอาหาร หรือคนที่ทำอาหารที่บ้าน เพราะฉะนั้นใครก็เป็นได้นะคะ ซึ่ง cook สามารถเป็นได้ทั้งคำนาม และคำกริยาค่า
Recipe สูตรอาหาร
Ingredient ส่วนประกอบในสูตร หรือวัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหาร
Chop/Dice ถ้าเราเป็น Cook จะไม่มีความแตกต่างระหว่าง Chop และ Dice โดย 2 คำนี้จะเป็นการหั่นเหมือนกัน แต่ถ้าเราเป็น Chef ทั้ง 2 คำนี้จะต่างกันที่ขนาดหลังจากที่หั่นแล้ว ซึ่งในส่วนของ chop จะได้ชิ้นที่บาง แต่ dice จะได้เป็นลักษณะของสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
Slice เป็นการเฉือน เช่น การตัดหัวหอมออกเป็นแผ่นๆ สำหรับแฮมเบอร์เกอร์
Boil/Simmer >> 2 คำนี้ความหมายคล้ายกันนะคะ Boil คือ การที่เราต้มน้ำ แล้วให้ความร้อนเข้าไปซึ่งเป็นความร้อนที่สูงมาก คือ ต้มจนน้ำเดือด โดยมีฟองใหญ่มาก ฟองผุดเยอะมาก แบบว่าน้ำเดือดเยอะมากๆ แต่ Simmer เป็นการต้มที่มีฟองเดือดเหมือนกันแต่ขนาดฟองน้อยกว่า และเดือดน้อยๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราจะทำ ซุป (soup) หรือ สตูว์ (stew) ตอนแรกเราจะทำให้เดือดเยอะมาก แล้วซักพักเราค่อยลดไฟลงแล้วปล่อยให้มันร้อนอยู่แบบนั้นซักพักนะคะ โดยลักษณะของ simmer ก็คือการตุ๋น หรือเคี่ยวนั่นเองนะคะ
Stir ก็คือการคน ซึ่งเวลาที่เรา boil/simmer เราก็ต้อง stir ด้วย ไม่งั้นวัตถุดิบเราที่ใส่เข้าไปอาจจะตกไปนอนอยู่ที่ก้นหม้อแล้วไหม้ได้นะคะ
Broil/Roast เป็นการทำอาหารโดยใช้เตา >> broil เป็นการให้ความร้อนทางด้านบนของอาหาร แต่ roast เป็นการให้ความร้อนจากด้านข้างและด้านล่าง แล้วความร้อนนั้นจะทำให้ภายในอาหารสุก
Grill เช่น ตอนเรา BBQ เรามีตะแกรง วางอยู่บนเตา แล้วเราก็เอาสเต๊ก (steak) วางลงไป หรือบาร์บีคิวลงไปเพื่อให้ความร้อนจนสุกนะคะ
Sauté คือ ตอนที่เราใส่น้ำมันลงไปในกระทะนิดหน่อย แล้วก็ใส่อะไรลงไป เช่น หัวหอม แล้วกลับไปกลับมา เป็นการผัดอย่างนึงนะคะ
Fry ทุกสิ่งที่ทำกับน้ำมัน โดย sauté ก็เป็นหนึ่งในประเภทของ fry ด้วยนะคะ ในขณะที่ deep fry คือ การที่เราทำให้อาหารถูกปกคลุมได้ด้วยน้ำมัน regular fry หมายถึงมีน้ำมันแล้วเราก็กลับอาหารไปมาให้อาหารโดนน้ำมันทั้ง 2 ด้าน


สำหรับสำนวนที่เอามาฝากวันนี้ก็คือ What’s cooking แปลว่า what is happening or what someone is planning ตัวอย่างประโยคก็คือ Hi there! What's cooking? Are we going out?

อ้างอิง : https://youtu.be/EOT2NxyWBbg

http://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/what-s-cooking

Thursday, August 25, 2016

[อังกฤษ 32] In addition (to), Moreover, Furthermore และ Another…

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเขียน หรือ writing นะคะ ถ้าใครได้เขียนบทความภาษาอังกฤษ หรือสอบ IELTS TOEFL ก็น่าจะมีโอกาสได้ใช้นะคะ ซึ่งที่ปิ่นจะพูดถึงก็คือ transitions นะคะ transitions มีไว้สำหรับการเปลี่ยนไอเดียในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมต่อกันของประโยค หรือการเชื่อมต่อกันของย่อหน้า โดย transitions ที่เอามาฝาก คือ In addition (to), Moreover, Furthermore และ Another…(something)…. โดย transitions ทั้ง 4 ตัวนี้จะใช้เมื่อมีการเพิ่มเติมอีกไอเดียหนึ่งเข้าไปนะคะ ซึ่งส่วนมากที่ผิดกันบ่อย คือการใช้ transitions เหล่านี้ แต่มีแค่ไอเดียเดียวค่ะ

สำหรับ 3 ตัวแรก In addition (to), Moreover, Furthermore มีความหมายเหมือนกันนะคะ ซึ่ง Furthermore เป็นทางการที่สุด ต่อมาจะเป็น Moreover ส่วน In addition (to) จะใช้กันทั่วๆ ไปค่ะ ซึ่งสำหรับการเขียนบทความแล้วถ้าเรารู้ทั้ง 3 คำนี้จะดีมากเพื่อเป็นการเพิ่มความหลากหลายในการใช้คำในบทความค่า แต่ถ้าเป็นบทความสั้นๆ ใช้แค่ 2 คำ ก็พอได้แล้วนะคะ

ตัวอย่าง...
His laziness caused the company to perform badly last quarter. Moreover, his attitude toward the board has put his job in jeopardy. สำหรับประโยคแรก เราพูดถึงความขี้เกียจของคน คือ His laziness สำหรับประโยคต่อมาเราพูดถึงทัศนคติ ซึ่งเป็นคนละไอเดียกับประโยคแรก โดยในที่นี้สามารถใช้ In addition และ Furthermore แทน Moreover ได้นะคะ

สำหรับการเชื่อมต่อของย่อหน้า เราต้องระมัดระวังว่าประโยคสุดท้ายของย่อหน้าด้านบนจะต้องมาเชื่อมต่อกับประโยคแรกของย่อหน้าถัดมานะคะ

ตัวอย่าง...
…So the internet not only helps people connect to friends and family anywhere in the word, it also makes it cheap to do so.
In addition to friends and family…
หรือ Moreover/ Furthermore the internet provides companies…

สำหรับหัวข้อทั่วไปสำหรับเรื่องนี้คือ อินเตอร์เน็ต สิ่งที่ต้องการจะพูดคือ อินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งจะพูดถึงเหตุผล 2 ข้อ โดยประโยคสุดท้ายของย่อหน้าแรกคือ บอกว่านอกจากที่อินเตอร์เน็ตจะเชื่อมต่อคนเข้าด้วยกันแล้ว มันยังจะเป็นการติดต่อที่ราคาถูกอีกด้วย ซึ่งสำหรับการเชื่อมต่อไปย่อหน้าต่อไป จะต้องมีการเชื่อมต่ออีกหนึ่งไอเดียที่จะบอกว่าอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ดี
เราสามารถใช้ได้ทั้ง In addition (to)/ Moreover/ Furthermore จากตัวอย่างก็คือ
In addition to friends and family…
หรือ Moreover/ Furthermore the internet provides companies…

สำหรับการใช้ 2 ไอเดียเพื่อมาสนับสนุนความเห็นของสิ่งที่ต้องการจะพูดอย่างที่บอกคือ เราสามารถใช้ได้ทั้ง In addition (to)/ Moreover/ Furthermore

นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ได้ว่า Another reason the internet is good, is because it provides companies … แต่สำหรับตัวอย่างนี้จะใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย ให้เลือกใช้ 3 ตัวแรกก่อนนะคะ



สำหรับสำนวนที่เอามาฝากวันนี้ก็คือ Around the corner มี 3 ความหมายด้วยกันนะคะ
1. อีกด้านหนึ่งของมุมถนน On the other side of a street corner, as in The doctor's office is around the corner from our house. [First half of 1800s] คลิกนิกอยู่อีกด้านหนึ่งของมุมถนนจากบ้านของพวกเรา
2. ใกล้ๆ เกี่ยวกับระยะทาง Nearby, a short distance away, as in The nearest grocery store is just around the corner. [Early 1800s] ร้านขายของชำอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ
3.ใกล้ๆ พูดเกี่ยวกับเวลา Very soon, imminent, as in You never know what stroke of luck lies just around the corner. [First half of 1900s] คุณไม่มีทางรู้เลยว่าจังหวะของความโชคดีอยู่แค่ใกล้ๆ

อ้างอิง :
https://youtu.be/IsDR3XEv50E
http://idioms.thefreedictionary.com/around+the+corner

Wednesday, August 10, 2016

12 สิงหานี้ เลือกผลิตภัณฑ์สุขภาพยังไง.. ใส่ใจคุณแม่

          อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลวันแม่อีกแล้วนะคะ  จริงอยู่ว่า...เราทุกคนมักจะทำตัวน่ารักกับคุณแม่ทุกวันอยู่แล้ว  แต่เมื่อถึงวันที่ 12 สิงหาทีไร  เราก็อยากจะแสดงออกอะไรซักอย่าง  เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเรายังคงรักท่านเหมือนเดิม  และมากขึ้นทุกปีๆ
       และของขวัญที่เรามักจะซื้อไปให้คุณแม่ก็หนีไม่พ้น ผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง แต่ว่า..จะเลือกยังไง ให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดี และปลอดภัยสำหรับคุณแม่ วันนี้ปิ่นก็มีเคล็ดลับมาฝากกันค่ะ

การเลือกผลิตภัณฑ์อาหาร ง่ายๆ เลยค่ะ
1.    ต้องเลือกที่มี เลข อย. >> อยากรู้ว่า เลข อย. ที่แปะบนฉลากถูกต้องหรือไม่ ก็เช็คได้เลยจาก Oryor Smart Application ค่า
2.    เลือกผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่หมดอายุ
3.    ถ้าคุณแม่มีภาวะไขมัน น้ำตาล หรือความดันสูง ก็เลือกอาหารที่มีไขมัน หรือน้ำตาลต่ำ ซึ่งเราจะเลือกได้จากการอ่านฉลากโภชนาการ ตามรูปที่ 1 หรือฉลาก GDA ตามรูปที่ 2 (ดูจากร้อยละของปริมาณสูงสุดที่บริโภคได้ต่อวัน เลือกเปอร์เซ็นต์ต่ำๆ เข้าไว้..มีชัยไปกว่าครึ่ง)
4.   

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรืออาหารเสริมที่คนทั่วไปมักจะเรียกกันติดปาก ก็อย่าซื้อเพียงเพราะเชื่อโฆษณาที่เค้าบอกนะคะ >> อาหารเสริมไม่ใช่ยา..รักษาโรค หรือลดอาการของโรค..ไม่ได้แน่นอนค่า



รูปที่ 1 แสดงฉลากโภชนาการ



รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างฉลาก GDA

       สำหรับการเลือกเครื่องสำอาง ก็ดูจาก
1.    ฉลากต้องเป็นภาษาไทย
2.    มีเลขที่จดแจ้ง 10 หลัก >> เช็คได้จาก Oryor Smart Application เหมือนกันค่า
3.    ดูเดือนปีที่หมดอายุ กรณีเครื่องสำอางมีอายุการใช้น้อยกว่า 30 เดือน
4.    ซื้อเครื่องสำอางจากร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอน เชื่อถือได้
5.    ดูส่วนประกอบว่ามีสารที่คุณแม่แพ้หรือไม่ ถ้าคุณแม่ไม่เคยแพ้ก็ผ่านไปหนึ่ง เปราะ >> แต่ถ้าคุณแม่เป็นคนที่แพ้ง่าย สามารถทดสอบการแพ้ได้โดยนำเครื่องสำอางไปทาที่ท้องแขนทิ้งไว้ประมาณ 24-48 ชั่วโมง หากไม่เกิดความผิดปกติแล้วจึงค่อยใช้
6.    เครื่องสำอางที่โฆษณาโอ้อวดเกินจริง
7.    เครื่องสำอางไมสามารถลดหรือรักษาอาการทางผิวหนัง เช่น สิว-ฝา -กระ ได้ ถ้ามีการโฆษณาแบบนี้..มักผสมสารห้ามใช้

สำหรับการเช็ค เลข อย. และเลขที่จดแจ้ง 10 หลัก ได้จาก Oryor Smart Application ตามรูปที่ 3 ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแอพนี้ได้ทั้งทางเพลย์สโตร์ (Play Store) และแอพสโตร์ (App Store) ค่า



รูปที่ 3 แสดงการเช็ค เลข อย. และเลขที่จดแจ้ง 10 หลัก
จาก Oryor Smart Application 


เอกสารอ้างอิง
- Fact sheet อย. “การเลือกซื้อเครื่องสำอาง”
- Fact sheet อย. “สัญลักษณ์ทางโภชนาการแบบจีดีเอ (GDA)”
- Fact sheet อย. “การโฆษณาเครื่อง”
- Infographic อย. “ใช้เครื่องสำอางอย่างเข้าใจปลอดภัยแน่นอน”
- Infographic อย. “รู้ก่อนอ้วน! หวานมันเค็มแค่ไหน? อ่านง่าย...ไกลโรคอ้วน”
- Infographic อย. “สวยอย่างฉลาด แค่อ่านฉลากเครื่องสำอาง”
- Infographic อย. “เรื่องจริงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร”
- Infographic อย. “ฉลากโภชนาการ อ่านให้เป็น เห็นประโยชน์”
- แผ่นพับ อย. “เครื่องสำอางที่ใช้ปลอดภัยจริงหรือ”
- เรียนรู้วิธีอ่านฉลากโภชนาการ. [online]. สืบค้นวันที่ 10 สิงหาคม 2559 ที่ URL http://www.thaihealth.or.th/Content/24683-เรียนรู้วิธีอ่านฉลากโภชนาการ’.html
- ดูฉลากข้อมูลโภชนาการ. [online]. สืบค้นวันที่ 10 สิงหาคม 2559 ที่ URL http://www.ezygodiet.com/ดูฉลากข้อมูลโภชนาการ/

Thursday, July 14, 2016

[อังกฤษ 31] Passive Voice

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ คือ Passive Voice เป็นประโยคที่ประธานในประโยคถูกกระทำนะคะ ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องใช้ Passive Voice ด้วย ซึ่งจริงๆ เหตุผลสำหรับการใช้ Passive Voice หลายเหตุผลด้วยกันนะคะ มาดูกันเลยค่า

เหตุผลข้อ 1 กรณีที่ไม่รู้ว่าประธานเป็นใครเราก็จะใช้ประโยค Passive Voice แต่ถ้าทุกคนรู้ชัดเจนอยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำเราก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยซ้ำ โดยใช้ประโยค Passive Voice ไปเลย หรือถ้าประธานไม่สำคัญสำหรับประโยคของเรา เราก็เอาประธานออก แล้วใช้ประโยค Passive Voice ตัวอย่างประโยคเช่น
- The building was vandalized. (ตึกถูกทำลาย)
- The flowers were delivered on time. (ดอกไม้ถูกส่งไปตรงเวลา)
- The roads were fixed quickly. (ถนนถูกซ่อมอย่างรวดเร็ว)
- The airplane was invented in the early 20th century. (เครื่องบินถูกคิดค้นในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20)
จาก 4 ประโยคที่เขียนมาจะเห็นว่าประโยคเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครทำ

เหตุผลข้อ 2 เป็นการทำให้ประโยคมีความหลากหลาย
He did A then he did B after that he did C. ถึงแม้ว่าจะเป็นประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือมันจะทำให้ฟังดูน่าเบื่อนะคะ และฮีโร่ที่จะเข้ามาช่วยก็คือการแต่งประโยคเป็น Passive Voice นั่นเองค่า
การใช้ Passive Voice จะทำให้ประโยคดูหลากหลายน่าสนใจมากขึ้น ลองมาปรับประโยคกันค่ะ เมื่อปรับแล้วจะได้ประโยคแบบนี้ค่า He did A. C wasn’t done until he had completed B. 

และเหตุผลข้อสุดท้าย คือ เป็นการเปลี่ยนความสนใจ โดยเปลี่ยนจากกรรมในประโยคแรกให้มาเป็นประธานในประโยคที่สอง และเป็นการเชื่อมโยงจากประโยคหนึ่ง ไปยังอีกประโยคหนึ่ง มาดูตัวอย่างกันนะคะ
Coca-cola was invented by a Pharmacist named John Pemberton. (ถ้าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Coca-cola ข้อมูล คือ John Pemberton เป็นคนคิดค้น Coca-cola แต่ในที่นี้พระเอกคือ Coca-cola ดังนั้นจึงยกเอา Coca-cola มาเป็นประธานของประโยค) His original recipe contained cocaine. (ประโยคที่ 2 นี้เป็น Active Voice หลังจากที่ประโยคแรกทิ้งท้ายไว้ที่ John Pemberton ประโยคต่อมาก็เลยพูดถึงเขาต่อ) Which is why the drink was name Coca-cola. (ในประโยคที่ 3 ต้องการพูดถึงไอเดียใหม่ จึงมีการใช้ Passive Voice) Today Coca-cola is a global brand that is consumed by millions of people. (เราจะพูดได้ว่า Coca-cola is a global brand that millions of people consume แต่สิ่งที่เราต้องการเน้นคือ consumption คือการบริโภค ดังนั้นเราจึงแต่งประโยคเป็น Passive Voice)


และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “take for granted หรือ take someone or something for granted” ซึ่งแปลได้หลายความหมายด้วยกันนะคะ
take for granted
1. การเข้าใจเอาเองว่าเป็นเช่นนั้น เช่น I took it for granted that they'd offer to pay for their share but I was wrong. (ฉันเข้าใจไปเองว่าเขาได้เสนอว่าจะจ่ายเงินแต่ฉันเข้าใจผิด)
2. การให้คุณค่ากับบางสิ่งน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะรู้สึกเคยชินกับบางสิ่ง เช่น If we work, we take for granted that we must get paid. (ถ้าเราทำงาน ก็เป็นเรื่องปกติที่เราต้องได้รับค่าตอบแทน)
take someone or something for granted
การที่เราคิดว่าสิ่งนั้น หรือคนคนนั้น จะอยู่กับเราไปตลอด ทำให้เราไม่เห็นคุณค่า หรือเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นลดลงไป เช่น I wish you didn't take me for granted. (ฉันหวังว่าคุณคงจะเห็นค่าของฉันนะ)


อ้างอิง :
          https://youtu.be/C6pHfjH0Efg
          http://idioms.thefreedictionary.com/take+for+granted

Thursday, July 7, 2016

[อังกฤษ 30] Mixed Conditionals

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ คือ Mixed Conditionals คือ ประโยคเงื่อนไข ที่มี If อยู่ในประโยคนะคะ
ซึ่งโดยทั่วไปจะมีประโยคเงื่อนไข 4 แบบด้วยกัน ก็คือ
แบบที่ 1 If I won the lottery, I would buy a house. >> unreal future or present ตรงข้ามกับเป็นจริงในปัจจุบันหรืออนาคต จากตัวอย่างประโยคหมายความว่า ถ้าฉันถูกลอตเตอรี่ ฉันจะซื้อบ้าน ซึ่งฉันไม่ได้ถูกลอตเตอรี่ ซึ่งเป็นการพูดที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงในปัจจุบัน (โครงสร้างของประโยค : If Past Simple Tense, Future in the past ก็คือ เปลี่ยน will เป็น would + V1)
แบบที่ 2 If I had known she was coming, I would have come too. >> unreal past ไม่เป็นความจริง เพราะกำลังพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ซึ่งประโยคนี้หมายความว่า ถ้าฉันรู้ว่าเธอกำลังมา ฉันก็คงจะมาด้วย ซึ่งพูดถึงเรื่องที่เกิดในอดีต ที่ไม่สามารถจะกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว  (โครงสร้างของประโยค : If Past Perfect Tense, would + have + V3)
แบบที่ 3 If you boil water, it evaporates. ถ้าฉันต้มน้ำ มันก็จะกลายเป็นไอ >> real conditional ใช้พูดเกี่ยวกับความเป็นจริง (โครงสร้างของประโยค : If Present Simple Tense, Present Simple Tense)
แบบที่ 4 If you study hard, you will pass the test. ถ้าเธอเรียนอย่างหนัก ก็จะสอบผ่าน >> real situation คือ ถ้าเราทำสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งจะเกิด ซึ่งเป็นความจริง (โครงสร้างของประโยค : If Present Simple Tense, will + V1)

แต่สำหรับ Mixed Conditionals จะเป็นการผสมผสานของแต่ละแบบเข้ามาผสมปนเป ซึ่งเหมือนจะเป็นข้อยกเว้นของ 4 แบบข้างต้น โดยสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้น คือ การสังเกตจาก Context บริบทรอบๆ คำที่ใช้ ตัวอย่างประโยคคือ
If you didn’t study computers in high school, you might find this course difficult. >> ประโยคแรกเป็น Past Simple Tense ประโยคต่อมาเป็น future เมื่อมาดูความหมายก็ดู make sense คือ ถ้าเราไม่ได้เรียนคอมพิวเตอร์ในอดีต เราก็จะพบว่าคอร์สนี้เป็นคอร์สที่ยาก
If you didn’t want to buy that shirt, you shouldn’t have. (bought it) >> ในประโยคนี้คือได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตคือได้มีการซื้อเสื้อไปแล้ว คือ จริงๆ ถ้าคุณไม่ต้องการซื้อ คุณก็ไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ คือ จริงๆ คุณไม่จำเป็นต้องซื้อ แต่คุณก็ซื้อมันไปแล้ว โดยคุณไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ (If Past Simple Tense, Present Perfect)
If you go, I will go too. (If Present Simple Tense, will + V1) แม้ในประโยคแรกจะเป็น Present Simple แต่ในความหมายนี้เป็นความหมายในเชิง Future คือ ถ้าคุณไป อาจจะไปงานปาร์ตี้สัปดาห์หน้า ฉันก็จะไปด้วย
If I had won the competition, I would have a great job now.  (If Past Perfect Tense, would + V1 + now)
ถ้าฉันชนะการแข่งขัน (ในอดีต) ฉันคงจะได้งานที่ดีในตอนนี้ แต่ความเป็นจริงคือฉันไม่ได้ชนะ และฉันก็ไม่ได้งานที่ดี (I would have but I don’t) ประโยคท้ายสามารถพูดอีกอย่างได้ว่า I would land a great job now. ซึ่ง land แปลว่า get
If you will please follow me, I will show you to your table. หรือ If you would, follow me please, I will show you to your table. >> อันนี้ไม่ใช่ conditional แต่เป็น a very formal expression คือ การพูดแบบสุภาพ ซึ่งจะมีการใช้ในร้านอาหาร (a very fancy restaurant) เป็นการพูดแบบสุภาพของ “follow me”
If it will help my case, I will take the test. ประโยคแรก คือ ผล (result), ส่วนประโยคที่ 2 คือ ส่วนที่จะทำเพื่อให้ได้ผล (action) ซึ่งก็คือ เหตุ นั่นเอง >> หรือ If it helps, I will take the test. ซึ่งอันนี้เป็น regular condition
If I knew how to cook, I would have made you dinner instead. บางทีเราอาจจะพาเพื่อนไปกินข้าว แล้วอาหารไม่อร่อย แล้วเพื่อนก็อาจจะอารมณ์เสีย แต่เพราะเราทำอาหารไม่เป็นเราเลยพาเพื่อนไปกินที่ร้านอาหาร แล้วเราก็มโนต่อว่า ถ้าฉันรู้วิธีทำอาหาร ฉันก็คงทำอาหารเย็นให้เธอทานแล้ว ซึ่งอันนี้เป็น unreal situation  
If I weren’t so busy, I would go with you. ถ้าฉันไม่ยุ่ง ฉันก็คงจะไปกับคุณ แต่ความเป็นจริงคือ ฉันยุ่งมาก ฉันก็เลยไม่ได้ไปกับคุณ
If my parents weren’t going away next weekend, I would have invited you yesterday. ประโยคแรกใช้ Past simple แต่กำลังพูดถึง Future ประโยคต่อมาพูดถึงสิ่งที่ would have done เมื่อวาน >> ซึ่งถ้าสิ่งนี้ไม่เป็นจริงสำหรับสุดสัปดาห์หน้า (If this weren’t true about next weekend) ซึ่งในที่นี้เมื่อวานที่ฉันพูดกับเธอและฉันไม่ได้เชิญเธอมา ก็เพราะฉันรู้ว่าเดี๋ยวพ่อแม่ฉันก็ไป ซึ่งก็คือ If they weren’t going, I would have invite you yesterday
               

และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “take it easy” ค่ะ ซึ่ง  “take it easy” มี 3 ความหมายด้วยกันนะคะ อันแรกคือใช้ในกรณีบอกลา มีความหมายประมาณว่าดูแลตัวเองด้วย
ส่วนความหมายที่ 2 คือ บอกว่าให้ทำอะไรแบบนุ่มนวลนิดนึง เช่น เราอาจจะให้เพื่อนช่วยยกเปียโน แต่เพื่อนเค้าไม่ค่อยได้สนใจว่าเปียโนจะหักมั้ย คือ ยกแบบไม่ระวังอ่ะนะคะ เราก็จะใช้ว่า Come on. Take it easy! It’s not made of steel, you know. คือ ยกระวังๆ หน่อย เปียโนไม่ใช่เหล็กนะ เดี๋ยวมันอาจจะหัก อะไรประมาณนี้นะคะ
ส่วนความหมายสุดท้ายคือ Calm down.; Relax.; Do not get excited. ผ่อนคลายนิดนึง อย่าตื่นเต้นค่า

อ้างอิง :  https://youtu.be/hk1AvFgOsSo
http://idioms.thefreedictionary.com/take+it+easy

Thursday, June 16, 2016

[อังกฤษ 29] 3 tips for sounding like a native

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ เป็นเรื่องที่เบาๆ นิดนึงนะคะ นั่นก็คือ 3 tips for sounding like a native speaker : เคล็ดลับ 3 ข้อที่จะทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษาค่า ซึ่งนั่นจะต้องใช้เวลา และการฝึกอย่างมากเลยนะคะ ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือไปอยู่เมืองนอก แต่เราก็มีทางอื่นนะคะโดยที่ต้องใช้เวลา และการฝึกฝนหน่อย เรามาเรียนรู้เคล็ดลับทั้ง 3 ข้อกันเลยค่า
1.       Connecting words เป็นการเชื่อมเสียงของคำที่ติดกันเข้าด้วยกันนะคะ เช่น
·        Black Coffee เราจะไม่อ่านว่า แบล็ค-เคอะ-คอฟ-ฟี่ แต่เราจะอ่านว่า  แบล็ค-คอฟ-ฟี่ คือตัดเสียง เคอะ ออกไปนะคะ
·         What do อ่านว่า ว็อท-ดู ไม่อ่านว่า ว็อท-เทอะ-ดู, ถ้าเป็นประโยคยาวๆ เช่น What do you do? เราจะอ่านเป็น ว็อท-เดอะ-เยอะ-ดู คือ คำระหว่างกลางจะออกเสียงสั้นๆ เหมือนเป็นการย่อคำ
·        not at all เราจะอ่านว่า นอท-แทท-ทอล ไม่ใช่ นอท-แอท-ออล คือ เสียงจะเชื่อมกันไปหมดนะคะ
2.       Squeeze words เป็นการหดคำบางคำ เช่น
·        Comfortable เราจะไม่อ่านว่า คอม-ฟอท-เท-เบิ้ล แต่จะอ่านว่า คอมฟ-เท-เบิ้ล แทน
·        Interesting เราจะอ่านว่า อิน-เทรส-ติ้ง แทนที่จะอ่านว่า อิน-เทอ-เรส-ติ้ง เว้นแต่ว่าถ้าเราต้องการจะเน้นหรือย้ำคำนั้นจริงๆ เราก็จะพูดว่า อิน-เทอ-เรส-ติ้ง ได้นะคะ
·        Every จะอ่านว่า เอฟ-รี่ แทน เอฟ-เวอ-รี่
3.       Squeeze letters
·        Country เวลาที่ t กับ r มาอยู่ด้วยกันจะออกเสียงเป็น chr เราจะไม่ออกเสียงว่า คัน-ทรี่ แต่จะออกเป็น คัน-ชทรี่
·        Hundred >> dr จะออกเสียงเป็น jr เวลาอ่านจะอ่านเป็น ฮัน-เจร็ด แทนที่จะเป็น ฮัน-เดร็ด
·        Did you…อันนี้จะคล้ายๆ กับที่พูดไปแล้ว เราจะเชื่อมตัว d ที่อยู่ด้านหลัง did เข้ากับ y ที่อยู่หน้า you เมื่อเชื่อมกัน เสียงจะออกมาเหมือนตัว j ก็จะออกเสียงเป็น ดิ-จู
ซึ่งทั้งหมด ถ้าเราฝึกออกเสียง รวมทั้งฝึกฟังภาษาอังกฤษเยอะๆ ก็จะช่วยอีกทางหนึ่งด้วยนะคะ



สำหรับสำนวนที่เอามาฝากวันนี้ก็คือ Catch you on the flip side! สำนวนนี้มาจากดีเจนะคะ เค้าจะปล่อยให้แผ่นเสียงเล่นเพลงไปจนหมดหนึ่งด้าน แล้วจะมาพูดคุยกับคุณผู้ฟังตอนที่จะกลับด้านแผ่นเสียง เค้าก็เลยพูดว่า Catch you on the flip side! ซึ่งแปลว่า See you later, Talk to you soon


อ้างอิง : https://youtu.be/ChZJ1Q3GSuI

Thursday, June 2, 2016

[อังกฤษ 28] Prepositions to say where you live : AT ON IN

          เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ คือ การใช้ preposition “AT” “ON” “IN” เวลาที่มีคนถามเราว่าเราพักอยู่ที่ไหน หรือ where do you live?
          AT : ใช้ในกรณีที่เราจะให้ที่อยู่ที่แน่นอน เช่น บอกเลขที่บ้าน แล้วบอกถนน เราจะพูดว่า I live at 35 Hill Street.
          ON : ใช้ในกรณีที่เราจะบอกว่าเราพักอยู่ที่ถนนไหน คือ เราบอกแค่ชื่อถนนที่เราอาศัยอยู่ เค้าอาจจะถามเราว่า Which street do you live on? เราก็จะตอบว่า I live on Hill street. และสิ่งที่บอกถึงถนน นอกจาก street (St.) ก็จะมี road (Rd), avenue (Ave), drive (Dr), boulevard (B/vd)
          IN : ใช้ในกรณีที่เราจะบอกว่าเราอยู่ในเมือง รัฐ หรือประเทศ เช่น I live in Los Angeles. I live in Bangkok. I live in Thailand.
          นอกจากนี้ถ้าเราจะพูดลงในรายละเอียด เราอาจจะใช้ at ในกรณีที่บอกว่า I live at the intersection Pine and Maple Streets. >> คือ มีถนน 2 เส้น แล้วเราอาศัยอยู่ใกล้ๆ เราก็สามารถพูดแบบนี้ได้นะคะ
          หรืออาจจะมีคนถามว่า Which floor do you live on? เราก็จะตอบว่า I live on the 15th floor.
          และบางครั้งเราอาจจะบอกว่า เราอาศัยในอพาร์ตเมนต์ หรือในแฟลต หรือในบ้าน เราก็จะพูดว่า I live in an apartment. I live in a flat. I live in a house.

          และต่อจากนี้เป็นแบบฝึกหัดเล็กน้อยที่เอามาฝากกันนะคะ
Lucos lives…
1…………….Miami
2…………….the 6th floor
3…………….92 Bird St.
4…………….Florida
5…………….Kendall Dr.
6…………….an apartment

Sarah lives…
7…………….65 Oxford st.
8…………….London
9…………….Regent St.
10…………….a rented flat
11…………….the 10th floor
12…………….England




          และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “Get on one’s nerves” แปลว่า ทำให้รำคาญ กวนประสาท  Please stop singing. It’s getting on my nerves. >> ช่วยหยุดร้องเพลงเถอะ มันรบกวนฉันมาก มันทำให้ฉันรำคาญมาก อะไรประมาณนี้นะคะ

(เฉลย : 1 = in ,2 = on ,3 = at ,4 = in ,5 = on ,6 = in ,7 = at ,8 = in ,9 = on ,10 = in ,11 = on ,12 = in )

อ้างอิง : http://youtu.be/3957TbatjPg

Google