Sunday, December 27, 2015

[Art 5] รูปคนกับตู้โทรศัพท์ ลงสีน้ำจากภาพร่าง








[Art 4] รูปคนกับทะเล ลงสีน้ำจากภาพร่าง





Thursday, December 24, 2015

[อังกฤษ 18] Idioms related to Emotion

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ เป็นเรื่องที่เบาๆ นิดนึงนะคะ หลังจากที่เรามีเนื้อหาหนักๆ กับ grammar มา 2 อาทิตย์แล้ว
ซึ่งเรื่องที่จะพูดถึงวันนี้ ก็คือ Idioms related to Emotion ซึ่งจะพูดถึง 8 สำนวนที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก ซึ่งสามารถเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้นะคะ
"To carry the torch for” means to be in love with someone maybe it’s just one side in love ก็คือ การรักข้างเดียวนั่นเองค่า หรือ อาจจะเป็นรักที่ไม่มีโอกาสสมหวัง หรือบางทีเราอาจจะเลิกกับคนๆ นั้นไปแล้ว แต่เรายังคงรักเค้าอยู่นะคะ ตัวอย่างประโยค เช่น John carries the torch for Jane but Jane has no clue about it. คือ จอห์นรักเจนมาก โดยที่เจนไม่เคยรู้เลย
“Chip on your Shoulder” means a person’s probably resentful. คือ มีคนที่ปฏิบัติต่อเค้าไม่ดี อาจเนื่องมาจากเขามีฐานะไม่ดี เกิดมาในตระกูลที่ต่ำต้อย หรือเป็นการเหยียดสี หรือเหยียดเพศ ทำให้เขาโกรธเคือง แค้นใจ ไม่พอใจ ตัวอย่างประโยค เช่น A boy who comes from a working class family, he really feels a chip on his shoulder.
Fish out of water means feeling uncomfortable ประมาณแบบว่าเราไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย และรู้สึกไม่ค่อยสะดวกใจ ตัวอย่างประโยค when I sit with extremely intellectual people, I really feel like a fish out of water because the things that they talk about, the knowledge that they have, I really can’t match. So I really feel fish out of water. แปลว่าเวลาที่เรานั่งอยู่ในกลุ่มคนที่ฉลาด และเก่งมากๆ เราจะรู้สึกไม่สะดวกใจกับเรื่องที่เค้าคุย เพราะเค้าอาจจะคุยเรื่องที่เทพมากๆ คนธรรมดาอย่างเราเอื้อมไม่ถึงนั่นเองนะคะ
“To go bananas” means when people feel really angry or they’ve got really emotional about something, they act really crazy manner. คือ อยู่ในอารมณ์ที่กำลังโกรธแบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงนะคะ ตัวอย่างประโยค You mess up your room. It’s really dirty, disgusting. And your mom come back home, she’s so tired and she see the room, she’s gonna go banana. So “To go bananas” means to go crazy. หลังจากที่เราทำห้องรก แม่ซึ่งเหนื่อยๆ จากที่ทำงานกลับมาถึงบ้าน มาเห็นห้องที่รกๆ นั้น ก็รู้สึกโกรธมากกกกกก อะไรประมาณนั้นค่ะ
“Go to pieces” or “Fall to pieces” means you go through a total mental collapse. Something that you’re facing is terrible, maybe an unpleasant situation that you are in, extremely difficult situation that you are in, makes your mind blank. คือเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ อาจจะกำลังอกหัก ซึ่งตอนนั้นระบบความคิดทั้งหมดก็จะล้มเหลว สภาพจิตใจก็จะย่ำแย่ ตัวอย่างประโยค After I’ve heard the news about his death, that news makes me go to pieces. So “Go to pieces” or “Fall to pieces” means a total mental collapse. หลังจากที่ปิ่นได้ยินข่าวการตายของเค้า โดยเฉพาะข่าวของไมเคิลแจ็กสัน ก็รู้สึกนิ่งไปชั่วขณะ สมองว่างเปล่าไปเลย ประมาณว่าช็อก นะคะ
Be as hard as nailsmeans someone who has no feelings or sympathy for others หรือ To have no feelings มีคนบางส่วนในโลกนี้ ที่ไม่เคยสนใจคนอื่น หรือไม่แคร์คนอื่นนะคะ หรือเขาไม่เคยแคร์อะไรเลย ไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ตัวอย่างประโยค Jane will be great in the new business, the reason because she as hard as nails. เนื่องจากเจนเป็นคนไม่เคยเห็นอกเห็นใจคนอื่นเลย มองอะไรก็เป็นธุรกิจไปหมด ทำให้เธอสามารถทำธุรกิจได้ดี ธุรกิจไปได้สวยค่า
No hard feelingsmeans agreement, no bitterness คือ เห็นด้วย ไม่มีความขมขื่น ชอกช้ำจากประเด็นที่ถกเถียงค่า
To be in a stewmeans to be worried, to be extremely stress about something ตัวอย่างประโยค He is in a stew right now about his son. คือ เขากำลังกังวลเกี่ยวกับลูกของเขา


และสำหรับคำศัพท์เกี่ยวกับ อย. ที่เอามาฝาก เนื่องจากหมดมุก นะคะ วันนี้เลยเอาชื่อกองมาฝาก เดี๋ยวจะทยอยพูดไปทีละกองละกันนะคะ เริ่มต้นด้วยกองตัวเองก่อน คือ  กอง พศ. หรือ กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภคนะคะ ชื่อภาษาอังกฤษก็คือ Public and Consumer Affairs Division ค่ะ

อ้างอิง : https://www.youtube.com/watch?v=BIlHLn595ho&feature=youtu.be

Thursday, November 26, 2015

[อังกฤษ 17] Present Perfect Tense VS Past Simple Tense

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ เป็น grammar อีกแล้วนะคะ ซึ่งจะพูดถึง Present Perfect Tense VS Past Simple Tense นะคะ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้พูดถึง Past Simple Tense ไปแล้ว จริงๆ จากการให้แบบฝึกหัดเกี่ยวกับ Past Simple Tense ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีคุณผู้ฟัง/คุณผู้อ่าน แนะนำมาว่าเพื่อให้เข้าใจแบบฝึกหัดมากขึ้นควรจะอธิบาย Present Perfect Tense ด้วยนะคะ วันนี้ปิ่นก็เลยจะพูดเพิ่มเติมด้วยการเปรียบเทียบการใช้ Present Perfect Tense กับ Past Simple Tense ค่ะ
สำหรับ Past Simple Tense เราจะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีตนะคะ แต่ถ้าเป็น Present Perfect Tense เราจะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและยังเป็นความจริงในปัจจุบัน หรือยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบันนะคะ
เมื่อพูดถึง Present Perfect Tense “เวลาที่ใช้ในประโยค” จะเป็นการลิงค์มาที่ปัจจุบัน เช่น this week, this month, this year ฯลฯ ส่วนกริยาที่ใช้ในประโยคจะเป็น V. to have + กริยาช่องที่ 3
เช่น I have watched 3 movies this week.
สำหรับ Past Simple Tense เวลาที่ใช้จะเป็นอดีต เช่น last week, last month, last year ฯลฯ
เช่น I watched 3 movies last week.
               
สำหรับตัวอย่างประโยคอื่นๆ นะคะ
(Present Perfect Tense) I have completed my graduation. or I have done my diploma. (Time is not specified.)
(Past Simple Tense) I completed my graduation in 2013. (Now, 2013 is the past. Time is specified especially in the past.)

(Present Perfect Tense) My uncle has gone to New York 5 times. (My uncle’s still alive.)
(Past Simple Tense) My uncle went to New York 5 times. (My uncle passed away or my uncle no longer exists.)
เปรียบเทียบสองประโยคนี้คือ Present Perfect Tense ใช้ในกรณีที่ประธานของประโยคยังคงมีชีวิตอยู่ สำหรับ Past Simple Tense ใช้ในกรณีที่ประธานของประโยคเสียชีวิตแล้ว แต่เราต้องการพูดถึงในสิ่งที่เค้าเคยทำ เมื่อเราพูดถึงสิ่งที่คนที่เสียชีวิตแล้วเคยทำไม่ว่าอะไรก็ตาม >> ให้ใช้ Past Simple Tense เท่านั้น

(Present Perfect Tense) I’ve lived in London for 7 years. (Now I still live in London.)
(Past Simple Tense) I lived in London for 7 years. (I no longer live in London. I live in different country.)
ในกรณีนี้การใช้ Past Simple Tense หมายถึง กิจกรรมที่เกิดขึ้นนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว จากตัวอย่างประโยคคือ ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ที่ลอนดอนอีกต่อไป

(Present Perfect Tense) I’ve not seen John today. ตรงนี้กริยาจะเป็น V. to have + กริยาช่องที่ 3 และเวลาที่บ่งชี้ในประโยคที่แสดงว่าเป็นปัจจุบันก็คือ today นั่นเองนะคะ
(Past Simple Tense) I didn’t see him yesterday. จากประโยคนี้ did not หรือ didn’t จะตามด้วยกริยาช่องที่ 1 นะคะ และเวลาที่บ่งชี้ในประโยคก็คือ  yesterday นั่นเองนะคะ

(Present Perfect Tense) I’ve never eaten Chinese food. “never” ในที่นี้หมายถึงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคือยังไม่เคยกินอาหารจีน แต่ไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่เคยต่อไปในอนาคต ซึ่งใน Present Perfect Tense เราจะเห็นที่ใช้บ่อยๆ คือ never, ever, hardly, so far เพราะคำเหล่านี้จะหมายถึงว่า ตั้งแต่อดีตจนถึง ณ ปัจจุบัน
(Past Simple Tense) I didn’t have pizza last night. เวลาที่บ่งชี้ในประโยคก็คือ  last night

(Present Perfect Tense) Have you ever watched horror film?
(Past Simple Tense) Did you watch the episode last night? ในที่นี้ did จะตามด้วยกริยาช่องที่ 1 นะคะ เวลาที่บ่งชี้ในประโยคก็คือ  last night

(Present Perfect Tense) Have you read the book?
(Past Simple Tense) Did you read the newspaper yesterday?
สำหรับ 2 ประโยคนี้ คำอธิบายก็คล้ายๆ กับ 2 ประโยคที่ผ่านมาค่า

(Present Perfect Tense) How long have you been engaged? ใช้คำถาม how เพราะเรากำลังถามถึงช่วงเวลาของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นช่วงเวลา ตั้งแต่สิ่งนั้นเกิดจนถึงปัจจุบัน
(Past Simple Tense) When did you get engaged? ใช้คำถาม when เพราะเรากำลังถามเวลาที่เฉพาะเจาะจงที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “A leopard can’t change his spots” means “You can’t change who you are”.  เสือดาวเปลี่ยนลายจุดบนตัวมันออกไปไม่ได้ ซึ่งเอาเปรียบกับมนุษย์ว่า นิสัยคนเราบางทีก็เปลี่ยนกันยาก นาน ๆ ไปก็ออกลายอยู่ดี, คนเรามันเปลี่ยนกันไม่ได้ อะไรประมาณนี้น่ะค่า

และสำหรับคำศัพท์เกี่ยวกับ อย. ที่เอามาฝากก็คือ GMP คำนี้ได้ยินกันบ่อย ปิ่นว่าส่วนใหญ่น่าจะรู้จักกันดี แต่จะเอามาฝากเผื่อว่าใครยังไม่รู้นะคะ GMP ย่อมาจาก Good Manufacturing Practice ซึ่งก็คือ หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต พูดง่ายๆ คือ การจะผลิตผลิตภัณฑ์ เช่น ยา หรือ อาหาร ฯลฯ ก็จะใช้ GMP นี้มากำกับกระบวนการผลิต เพื่อให้มั่นในว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีความปลอดภัย และมีคุณภาพมาตรฐาน นั่นเองนะคะ

อ้างอิง :
https://www.youtube.com/watch?v=hqX8gANPN-E&feature=youtu.be
https://www.youtube.com/watch?v=o9sBGcRocog&feature=youtu.be

Thursday, November 19, 2015

[อังกฤษ 16] Simple Past Tense หรือ Past Simple Tense

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ เป็น grammar นะคะ ซึ่งจะพูดถึง Simple past tense เป็นอะไรที่ภาษาไทยไม่มีนะคะ ก็อาจจะยากนิดนึง แต่วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันค่า
ซึ่งกริยาที่ใช้ใน Simple past tense จะเป็นกริยาช่องที่ 2 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกริยาช่องหนึ่งที่เติม “ed” เช่น cooked, baked, cleaned, worked แต่ก็มี Irregular verb ที่เป็นการผันโดยการเปลี่ยนรูป เช่น ran (ช่องที่ 1 คือ run), ate (ช่องที่ 1 คือ eat)
โดยทั่วไปแล้วจะมีการสับสนระหว่าง Simple past tense กับ Present perfect tense หลายคนอาจจะสงสัยว่าเมื่อไหร่ควรจะใช้ Simple past tense และเมื่อไหร่ที่ควรใช้ Present perfect tense
วันนี้ก็จะมีเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้รู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้ Simple past tense นั่นก็คือ การใช้ Time markers เช่น Yesterday, The other day, Last week, Last month, Last year, When, Just now, Ago, in……..
ตัวอย่างประโยค …………….., I ate two cookies.
                  หรือ Two years ago, I went to Thailand.
                   หรือ I ate two cookies, when I was 8 years old.
                   หรือ In 1990, I went to Thailand.
ซึ่งเวลาที่เราพูดถึงเวลาใน Simple past tense เราจะเจาะจงถึงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต เราจะไม่ได้พูดถึงช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในอดีตนะคะ
หลังจากนี้มาลองทำแบบฝึกหัดกันนะคะ
1)      Yesterday, I …………………………. a movie. (see)
2)      Just now, I …………………………. my homework. (do)
3)      I …………………………. to China before. (go)
4)      Last week, I …………………………. shopping. (go)
5)      At the moment, I …………………………. to school. (go)
6)      I never …………………………. French. (learn)
7)      Four years ago, I …………………………. to Toronto. (move) >> ago ใช้พูดถึง certain amount of time

( Answer : 1) = saw 2) = did 3) = have been 4) = went 5) = go 6) = I’ve never learned 7) = moved )


และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “A blessing in disguise” means “Something good that is not recognized at first”.  แปลตรงๆ คือ พรที่ซ่อนเร้น แต่ความหมายที่แท้จริงคือ อะไรที่ในตอนแรกเราไม่ได้มองว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่สุดท้ายสิ่งนั้นกลายเป็นเรื่องที่ดีหรือพร นั่นเอง 

และสำหรับคำศัพท์เกี่ยวกับ อย. ที่เอามาฝากก็คือ ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกกฎหมาย นะคะ
พระราชบัญญัติ = Act เช่น พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ก็จะใช้ว่า Food Act B.E. 2522 พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ก็จะใช้ว่า Cosmetic Act B.E. 2558
กฎกระทรวง = Ministerial Regulations
ประกาศกระทรวง = Ministerial Announcements

อ้างอิง
1. https://www.youtube.com/watch?v=vBQyaHAHmmQ&feature=youtu.be
2. https://www.facebook.com/AjarnAdamBradshaw/posts/274662392544470

Thursday, October 29, 2015

[อังกฤษ 15] Going to the Hairdressers

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ ก็คือ Going to the Hairdressers ก็จะพูดถึงคำศัพท์ และตัวอย่างประโยคที่เกี่ยวข้องกับการไปร้านตัดผมนะคะ
Barber = ช่างตัดผมผู้ชาย // Barbershop = ร้านตัดผมผู้ชาย
Hairdresser = ช่างที่ตัดผมทั้งผู้หญิงและผู้ชาย // Hair Salon = ร้านที่ตัดผมทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

I would like to get/have… หรือ I’d like to get/have…
- a cut (ตัดผม)
- a wash and cut (สระผม แล้วตัดผม)
- a wash, cut and dry (สระผม ตัดผม แล้วไดร์)
- a trim = a little cut (เล็มผม คือ ตัดออกไปไม่เยอะนะคะ)
- a perm มาจาก permanent ซึ่งแปลว่า ถาวร ไม่เปลี่ยนแปลงนะคะ  
ซึ่ง a perm คือ ถ้าผมเราหยิก นั่นคือ เราจะยืดผม หรือ ถ้าผมเราตรง ก็หมายความว่าเราจะดัดผม นะคะ

I’d like to get my hair…
- cut (ตัดผม)                                                                                              
- coloured (เปลี่ยนสีผม)                                                                         
- bleached (ทำสีให้อ่อนกว่าสีเดิม)                                                        
- dyed (เปลี่ยนสีผม เหมือนกับ coloured)                                           
- permed (ความหมายเหมือน perm แต่ในที่นี้เป็นคำกริยาค่ะ)        
- streaked (การทำไฮไลต์สีผมด้วยสีอื่น)
- styled (จัดแต่งทรง เช่น การทำผมลอนแบบชั่วคราว เพื่อไปงานปาร์ตี้)
- straightened (ยืดผม)
- curled (ดัดผม)
- layered (ตัดผมให้เป็น layer คือ เป็นชั้นๆ)


และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “Fingers crossed” means “Hope or wish for good luck”. คือการที่เราเอานิ้วชี้ไขว้กับนิ้วกลาง ปกติเค้าจะทำเพื่อหวังว่าจะโชคดีนะคะ คือ เป็นการแสดงความปรารถนาให้บังเกิดความโชคดีค่ะ ตัวอย่างประโยค เช่น Ron kept the fingers crossed before the exam.

และสำหรับคำศัพท์เกี่ยวกับ อย. ที่เอามาฝากก็คือ ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้สำหรับระดับปฏิบัติการ ระดับชำนาญการ และระดับชำนาญการพิเศษ นะคะ
ระดับปฏิบัติการ = Practitioner Level
ระดับชำนาญการ = Professional Level
ระดับชำนาญการพิเศษ = Senior Professional Level


อ้างอิง : http://www.youtube.com/watch?v=UEMr1RCW3bg&sns=em

Thursday, October 15, 2015

[อังกฤษ 14] How to take or give a message

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ ก็คือ Telephone English : How to take or give a message ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 3 ที่ปิ่นจะมาพูดถึงเทคนิคการคุยโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษนะคะ ซึ่งเมื่อครั้งที่แล้วปิ่นก็มีการพูดถึงบ้างแล้วกับการฝากข้อความนะคะ แต่วันนี้จะเป็นการเจาะลึกมากขึ้นค่า และจะพูดถึงประโยคที่เป็นการปิดบทสนทนาในการคุยโทรศัพท์ด้วยนะคะ
A: Would you like to leave a message? (แปลว่าคุณอยากจะฝากข้อความมั้ย?)
B: Yes, can you tell…………….that…………….called?
           (จากประโยคตรงนี้ ถ้าเราเป็นคนโทรไปหา “Peter” เราอาจจะพูดว่า can you tell Peter that I called?
             หรืออาจจะใช้ชื่อตัวเองแทน “I” ก็ได้ เช่น can you tell Peter that Pin called?)
      หรือจะเป็นการบอกให้อีกคนโทรกลับมาหาเราก็ได้ เช่น
      Yes, can you tell…………….to call me tonight/later?
             (can you tell Peter to call me tonight/later?)
     และเราอาจจะบอกเบอร์เพื่อให้เค้าโทรกลับโดยบอกเบอร์เรา เช่น
      She/He can reach me at 02-555-5555.
A: Hold on, let me grab a pen and paper. (ซึ่งตอนนั้นคนที่เราพูดด้วยอาจจะไม่มีปากกาและกระดาษ)
    Okay, what’s your number again? (ก็คือ ช่วยบอกเบอร์คุณอีกที)
แล้วเราก็บอกเบอร์เราไปอีกทีเพื่อให้อีกคนนึงจดนะคะ
หลังจากที่เขาจดเบอร์เสร็จแล้ว เขาอาจจะพูดว่า...
    Great! I’ll let her/him know you called. หรือ I’ll pass on the message. ก็ได้

ถ้ากรณีที่ไม่มีการฝากข้อความ
A: Would you like to leave a message?
B: No, that’s okay. I’ll try again later.

แล้วเราก็สามารถบอกลาด้วยประโยคง่ายๆ คือ
Okay. Take care. Bye. หรือ Thank you. Good bye. ซึ่งประโยคหลังจะค่อนข้างทางการกว่าประโยคแรก


และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “Cost an arm and a leg” The meaning is “Expensive, Cost too much money”. หรือ แพงมาก ตัวอย่างประโยค เช่น John’s father pays an arm and a leg for his car.

และสำหรับคำศัพท์เกี่ยวกับ อย. ที่เอามาฝากก็คือ “SPF” และ “PA” เป็นสองคำที่มีการถามเข้ามานะคะ ซึ่งสองค่านี้หลายคนอาจจะคุ้นเคยนะคะ เพราะเวลาที่เราเลือกครีมกันแดด เรามักจะดูที่ 2 ค่านี้เสมอ
โดย “SPF” ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าที่บอกถึงการปกป้องผิวจากรังสี UVB นะคะ ส่วน “PA” ย่อมาจาก Protection Grade of UVA ตรงตัวก็คือค่าที่บอกถึงการปกป้องผิวจากรังสี UVA นั่นเองค่า
ทั้งนี้สามารถไปอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับครีมกันแดดได้ที่ http://www.oryor.com/media/k2/pdfs/7269.pdf


Thursday, October 8, 2015

[อังกฤษ 13] Some important telephone expressions

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ ก็คือ Some important telephone expressions ซึ่งจะพูดถึงประโยคที่ใช้บ่อยในการคุยโทรศัพท์นะคะ โดยการคุยโทรศัพท์โดยที่เราไม่สามารถเห็นสีหน้า หรือท่าทางของคนพูด จะทำให้เรารู้สึกวิตกกังวลได้ แต่ถ้าเราคุ้นเคยกับประโยคที่ใช้ในการคุยโทรศัพท์แล้ว เราก็จะสามารถเดาได้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่ค่ะ
1.       Is ……(ชื่อของคน ที่คนที่โทรมา ต้องการคุยด้วย)……..there, please?
2.       Is ……(ชื่อของคน ที่คนที่โทรมา ต้องการคุยด้วย)……..in?
สองประโยคแรกจะไม่ค่อยทางการ/informal
3.       This is ……(ชื่อคนที่โทรไป)…… calling for ……(ชื่อของคน ที่คนที่โทรมา ต้องการคุยด้วย)……..
4.       May I please speak to ……(ชื่อของคน ที่คนที่โทรมา ต้องการคุยด้วย)……..?
สองประโยคต่อมาจะเป็นทางการ/formal

จากทั้ง 4 ประโยคข้างบน ถ้าคนที่โทรมา เขาโทรเพื่อจะคุยกับเรา ตัวอย่างเช่น คนที่โทรมาอาจจะถามว่า Is Pin there, please? ซึ่งตอนนั้นปิ่นเป็นคนรับโทรศัพท์พอดี ปิ่นก็จะตอบไปสั้นๆ ได้ว่า “speaking” ซึ่งก็แปลว่าปิ่นกำลังพูดอยู่นะคะ
หรือปิ่นอาจจะตอบว่า Pin’s speaking. How can I help you?
หรืออาจจะตอบว่า This is Pin. ก็ได้ค่ะ

แต่จากทั้ง 4 ประโยคข้างบน เขาไม่ได้โทรมาเพื่อจะคุยกับเรา แต่เขาโทรมาหาคนอื่น แต่ว่าเราเป็นคนที่รับโทรศัพท์พอดี เราก็จะสามารถตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ต่อไปนี้
- One moment please.
- Just a moment please
- Hang on a sec I’ll get ……(ชื่อของคน ที่คนที่โทรมา ต้องการคุยด้วย)…….. เช่น ถ้าเขาต้องการคุยกับ Bob ปิ่นก็จะตอบไปว่า Hang on a sec I’ll get Bob. หรือ Hang on a sec I’ll get him.
ซึ่งทั้งสามประโยคนี้แปลว่า wait คือบอกให้เขารอ แต่ว่าประโยคที่ใช้นี้จะฟังดูสุภาพกว่าการที่เราบอกไปว่า wait
แต่ประโยคสุดท้ายจะดูไม่ค่อยทางการ Hang on a sec I’ll get …… ส่วนใหญ่จะใช้คุยกับเพื่อน ซึ่ง sec ในที่นี้ก็มาจากคำว่า second นั่นเองค่า
แต่ถ้าคนที่เขาต้องการคุยด้วยไม่อยู่ เราก็สามารถตอบไปว่า I’m sorry. He’s not here at the moment. หรือ I’m sorry. He’s not here right now.
Would you like to leave a message? หรือ Can I take a message? ซึ่งประโยคนี้แปลว่า คุณอยากจะฝากข้อความไว้มั้ย ประมาณนั้นนะคะ
                ทั้งหมดนี้ก็เป็นตัวอย่างประโยคที่จะใช้ในการคุยโทรศัพท์ตามที่ปิ่นได้สัญญาไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนะคะ


และ Idioms หรือสำนวนที่จะเอามาฝากในวันนี้ ก็คือ “Catch red-handed” The meaning is “to catch someone in the act of doing something wrong”. หรือ จับได้คาหนังคาเขา ตัวอย่างเช่น She was caught red-handed trying to steal a necklace. คือเขาถูกจับได้ตอนที่กำลังพยายามขโมยสร้อยคอ คือ จับได้คาหนังคาเขา

ศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ อย. วันละคำ (อย. ย่อมาจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)
วันนี้แถมให้นะคะ เอามาฝากวันนี้ 2 คำ คือ ชื่อตำแหน่งของเลขาธิการฯ และรองเลขาธิการฯ ค่า
Secretary – General                           เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา
Deputy Secretaries – General            รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา


Google