Thursday, January 14, 2016

[อังกฤษ 20] Phrasal Verbs : Anger

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ คือ Phrasal Verbs : Anger เป็น Phrasal Verbs ที่ใช้ตอนที่เรามีอารมณ์เสีย อารมณ์โกรธ หรือกำลังโมโห นะคะ ซึ่ง Phrasal Verbs คือ Verb ที่มี preposition อยู่ด้วยค่ะ เมื่อหลายเดือนก่อนปิ่นก็ได้พูดเกี่ยวกับ Phrasal Verbs ไปแล้วด้วยนะคะ :-)
อันดับแรกมาดู 5 Phrasal Verbs ที่เกี่ยวกับ Cause หรือสาเหตุที่ทำให้เราโกรธกันก่อนนะคะ ซึ่งทั้ง 5 คำนี้มีความหมายเหมือนกันหมดเลย คือ พูดถึงบางสิ่งที่ทำให้เราโกรธนะคะ หรือ Something or someone that makes you angry.
- gets to s/o อย่างเช่น บางคนอาจจะไม่ชอบเสียงหักนิ้วมือ ที่เป็นเสียงแกร็กๆ อ่ะนะคะ  ซึ่งเวลาเค้าได้ยินเสียงนั้นๆ เค้าจะรู้สึกอารมณ์เสีย หรือโกรธ ก็อาจจะพูดว่า Cracking gets to me.
- winds s/o up อาจจะพูดว่า Cracking fingers winds me up. หรือบางคนอาจจะไม่ชอบนักการเมือง ก็จะพูดได้ว่า Politicians, they wind me up.
- piss s/o off ซึ่งจะเป็นคำที่ไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่นะคะ แต่ก็สามารถใช้กับเพื่อนได้ ซึ่งมีความหมายเดียวกับ 2 คำแรก ก็จะพูดได้ว่า Politicians piss me off. When people split on the ground, it pisses me off. (เวลาที่มีคนบ้วนน้ำลายลงพื้น ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เสีย)
- works s/o up >> สำหรับคำนี้ เพื่อนสนิทปิ่นเค้าจะรู้ดีว่า อะไรทำให้ปิ่นโกรธ ก็จะพูดได้ว่า My friend, she knows how to work me up.
- ticks s/o off >> บางทีน้องชายปิ่นอาจจะทำให้ปิ่นอารมณ์เสีย ปิ่นก็จะพูดได้ว่า My brother ticks me off.

ต่อมามาดูที่ Result หรือผลลัพธ์ หลังจากที่เราโกรธแล้ว อะไรคือผลลัพธ์นะคะ ซึ่ง 4 คำต่อไปนี้เป็นคำที่มีความหมายเดียวกันค่า
- blow up เวลาที่เราโกรธหรือโมโห บางทีเราจะร้องกรี๊ดนะคะ ซึ่งเราจะเห็นบ่อยๆ ในละคร สำหรับบางคนก็จะหน้าแดง แบบเลือดขึ้นหน้านะคะ บางทีเราจะพูดสบถ แบบเสียๆ ออกไป หรืออาจจะมีการใช้กำลัง เช่น If I’m very angry, I might blow up. ซึ่ง blow up ก็หมายถึง เราร้องกรี๊ด เลือดขึ้นหน้า หน้าแดงก่ำ หรือหลายๆ สิ่งที่ได้พูดถึงไปแล้วนะคะ
- freak out ความหมายเดียวกันกับข้างบนนะคะ ตัวอย่างประโยคเช่น Yesterday, my teacher freaked out. She was very angry. She yelled at the students. She freaked out.
- lash out at s/o อาจจะพูดว่า The teacher lash out at me. The teacher was angry at me.
- fly into a rage อาจจะพูดว่า The teacher flew into a rage, yesterday. 

หลังจากที่เราหงุดหงิด โมโห อาจจะมีคนบอกเราว่าใจเย็นๆ ก็จะมีคำที่สามารถใช้ได้ คือ
- calm down คือ รู้สึกสบาย สงบ
- chill out ซึ่งจะสุภาพน้อยกว่า calm down แต่ก็พอเอาไปใช้ได้เหมือนกันค่ะ



สำนวนที่เอามาฝากคือ  “All in a day’s work” พูดถึงบางสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ (no big deal) บางคนอาจจะขอบคุณที่เราทำอะไรบางอย่างให้ ซึ่งเราก็เห็นว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นอะไรที่เราทำเป็นประจำอยู่แล้ว เราทำให้ได้ เราก็จะพูดว่า It’s all in a day’s work.

และสำหรับคำศัพท์เกี่ยวกับ อย. วันนี้เรามาดูชื่อหน่วยงานอื่นบ้าง หน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานที่ชื่อยาวที่สุดใน อย. ก็คือ กอง คบ. หรือ กองส่งเสริมงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น นะคะ ซึ่งชื่อหน่วยงานภาษาอังกฤษ คือ RURAL AND LOCAL CONSUMER HEALTH PRODUCTS PROTECTION PROMOTION DIVISION ค่ะ


Sunday, January 10, 2016

[ไดอารี่:บันทึกประจำวัน] ปิ่น พาฝัน กะดึก Update 12/02/2016

แรงบันดาลใจในการเขียนบันทึกประจำวันมาจาก “เรไรรายวัน”
แรงผลักดันในการเขียนมาจาก “นิ้วกลม”
สำหรับการเขียนบันทึกครั้งแรก ขอเล่าย้อนนิดนึงนะค้า
6 มกราคม 2559 (วันพุธ) กลับมาจากเที่ยวไต้หวัน ก็เห็นของขวัญปีใหม่ กองเต็มโต๊ะไปหมด หนึ่งในนั้นคือผ้าขนหนูพับเป็นรูปกระต่าย น่ารักเชียวดูตั้งใจทำมากๆ แต่พี่ที่นั่งใกล้ๆ บอกว่าคนจีนเค้าถือ “ถ้าได้ผ้าจะต้องเอาเงินไปให้คนที่ให้ผ้าเรา 1 บาทกลับมาจากไต้หวัน ตอนนี้ก็อินมากกกก เลยคิดว่าเดี๋ยววันพรุ่งนี้จะเอา 1 เหรียญดอลลาร์ไต้หวันมาให้พี่เค้า
7 มกราคม 2559 (วันพฤหัสบดี) เอาเหรียญมาให้พี่เค้าตามที่ตั้งใจ แต่เหมือนพี่เค้าหน้าเสียไปเลย เพราะพี่เค้ารู้สึกผิดที่กลัวมีคนคิดมากเหมือนเรา เราก็รู้สึกผิดที่ทำให้เค้ารู้สึกแย่
8 มกราคม 2559 (วันศุกร์) พี่เค้าก็ยังพูดคุยกับเราดีเหมือนเดิมนะ (เสียใจที่ทำให้เค้าเสียใจ) >> “อายุที่มากขึ้นไม่ได้ทำให้คนเราทำผิดพลาดน้อยลง แต่การคิดให้รอบด้านต่างหากที่ทำให้เราลดการทำผิดพลาดลงได้”
9 มกราคม 2559 (วันเสาร์) วันนี้ตื่นสายลุกขึ้นมาเขียนรีวิวทริปไต้หวัน ตั้งใจว่าจะทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และเริ่มเขียนบันทึกประจำวันหลังจากที่มีแรงบันดาลใจ
9 มกราคม 2559 12:13 น.

เช้านี้ฝันว่าง่วงมาก ง่วงแบบลืมตาไม่ขึ้นเลยนะ แล้วต้องไปนำเสนอร่างโครงการวิจัยที่ทำมานานแล้วเป็นภาษาอังกฤษอีก พูดแบบงูๆ ปลาๆ นึกศัพท์แทบไม่ออก ง่วงมากจริงๆ (ไม่เคยฝันว่าง่วงเลยนะ สงสัยจิตใต้สำนึกจะบอกว่าร่างกายแทบไม่ไหวละ)
และแล้วก็ตัดสินใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอนเจ็ดโมงครึ่ง วันนี้มีประชุมตอนเก้าโมง
เป็นการประชุมนอกรอบนัดพิจารณาร่างยุทธศาสตร์ของกรม
ส้มหล่น!! ได้นำเสนอมติกลุ่มให้ผู้บริหารทั้งหลายฟัง โชคดีจัง!! แค่นี้..วันนี้ก็เริ่ดกว่าเมื่อวานละ

10 มกราคม 2559 18:12 น.


เช้านี้เจอผู้ทรงคุณวุฒิฯ ที่โรงอาหาร แล้วชมว่า "เมื่อวานปิ่นนำเสนอได้ดี" >> เป็นปลื้ม
วันนี้ยังคงยุ่งต่อเนื่องหลังจากที่กลับมาจากไต้หวัน แต่ก็ได้งานเป็นชิ้นเป็นอันหลายชิ้นนะ
ตอนเย็นแวะไปเอาแว่นที่เพิ่งตัดเสร็จ ใส่แล้วมึนมาก เลยเอาแว่นเก่ามาใส่ก่อนพลางๆ
"จะปรับตัวให้เข้ากับของใหม่ ต้องใช้เวลา"

แต่ตอนนี้คลอด Review Taiwan Day 1 เรียบร้อยแล้ว เย้ๆๆ

11 มกราคม 2559 20:29 น.


กลับมาเขียนบันทึกอีกครั้ง  หลังจากหายไปนาน เวลาที่เรามัวแต่ยุ่งทำเรื่องด่วน เรื่องที่เราอยากทำแต่ไม่มากเท่าที่ควร ก็จะถูกกลืนหายไป

วันนี้เป็นวันที่ 2 หลังจากปรับตารางชีวิตใหม่ ทำได้ตามเป้าบ้าง ไม่ได้บ้าง
มันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราเคยชินกับเรื่องเดิมมานาน
การปรับเปลี่ยนต้องใช้เวลา  ค่อยๆ เปลี่ยนทีละนิด ทุกๆ วัน
พอผ่านไป 1 ปี จากวันนี้ >> คงจะค้นพบว่าตัวเองเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบพลิกฝ่ามือ
สู้ๆๆ 

อ่อ!  ตอนนี้คลอด Day  4  ใน  pantip เรียบร้อยแล้วในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (7 กุมภาพันธ์) เย้ๆๆ
9  กุมภาพันธ์ 2559 19:24 น.


วันนี้รีบกลับมาซักผ้า ตามตารางที่วางไว้
หลังจากจัดแจงให้ผ้าลงไปอยู่ในเครื่องซัก
ก็หยิบละมุดที่อยู่ในตู้เย็นออกมากิน หวาน หอม เย็น ฟินสุดๆ

จำได้ว่าเมื่อ 4 วันที่แล้ว พยายามกินละมุดรุ่นเดียวกันที่ซื้อมาจากตลาด
ทั้งฝาด ทั้งเฝื่อน เพราะมโนว่านิ่ม แล้วจะฝืนกินให้ได้ ทั้งๆ ที่มันยังไม่สุก
แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ เพราะรสชาติของมันสลายมโนหายไปในพริบตา

นี่แหละมั้ง คือ การอดทนรอเวลา
เพื่อจะได้ดื่มด่ำกับ "สิ่งที่ใช่" สำหรับเรา

10  กุมภาพันธ์ 2559 20:56 น.

เย็นวันศุกร์ มีนัดกินข้าวกับเพื่อน จนกลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว

ตอนกำลังจะกลับ..หลังจากกินข้าวเย็นเรียบร้อย
เพื่อนเหลือบไปเห็นรองเท้าผ้าใบที่อยู่ท้ายรถ

นางก็ถามว่า "แก ซื้อรองเท้าใหม่เหรอ"

ปิ่น : ป่าว!! คู่นี้ได้มานานแล้ว 
พอดีพ่อเพื่อนซื้อมาให้ลูกสาว (น้องของเพื่อน) 
แต่ใส่ไม่ได้เพราะรองเท้าใหญ่เกินไป

เพื่อน : อ่อ!! แกเท้าใหญ่

ปิ่น : เท้าไม่ได้ใหญ่นะ แค่ใหญ่กว่าเท้าน้องเค้า 
อันจิงถ้าเทียบกับเท้าแกแล้ว เราเท้าเล็กกว่ามากกกก

เพื่อน : ก็จิง!!



12 กุมภาพันธ์ 2559 23:42 น.

[Tips] Review : Real Life (Diary) in Taiwan 30 Dec 2015 - 5 Jan 2016 (7 days)

Friday, January 8, 2016

[วันที่ 7] Review : Real Life (Diary) in Taiwan 30 Dec 2015 - 5 Jan 2016 (7 days)

[วันที่ 6] Review : Real Life (Diary) in Taiwan 30 Dec 2015 - 5 Jan 2016 (7 days)

Day 6 : Alishan, Taipei (Raohe St. Night Market, Ximenting Market)

วันที่ 6 แล้ว เวลาผ่านไปเร็วเหมือนกัน ตอนที่มาถึง..นึกไม่ออกเลยว่า..ใกล้ๆ วันสุดท้ายจะรู้สึกยังไง จนมาถึงตอนนี้..มันก็เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนะ!!

วันนี้เรานัดกัน 5:20 น. เพื่อไปขึ้นรถไฟสำหรับดูพระอาทิตย์ขึ้น พวกเรา กึ่งเดิน กึ่งวิ่ง ฝ่าอากาศหนาวๆ จากที่พักไปยังสถานีรถไฟ

รถไฟออกเดินทาง 6:00 ขึ้นไปถึงยอดเขาข้างบนเวลา 6:25 น. ที่สถานีปลายทางมีป้ายปิดประกาศด้วยว่า..พระอาทิตย์จะขึ้น 7:05 น. และรถไฟเดินทางกลับเวลา 7:45 น.





พอรถไฟจอด เราก็รีบสาวฝีเท้าก้าวขึ้นบันได เพื่อไปจับจองที่ในการยืนรอดูพระอาทิตย์ ระหว่างนั้นก็มีเจ้าหน้าที่มาบรรยายด้วย ก้อดีนะ ฟังเพลินๆ เดาเอาจากท่าทางของเค้า (เค้าบรรยายเป็นภาษาจีน)

เรายืนรอจนถึง 7 โมงกว่า (ระหว่างรอก็ผลัดกันไปหาซื้ออะไรมากิน) ไม่ว่ายังไงก็มองไม่เห็นพระอาทิตย์ หมอกหนามากกก (น้ำค้างลงตลอดเวลา ยังกับฝนตก)
อากาศเหมือนจะเย็นกว่าข้างล่าง คุณหลินเตรียมพร้อมด้วยการหยิบผ้าขนหนูที่โรงแรมมาด้วย (นางใช้ไดร์เป่าผ้าขนหนูที่นางใช้จนแห้ง >> พยายามมาก!!)

หลังจากนั้นเราก็ถ่ายรูปเล็กน้อย แล้วก็กลับลงมาตามเวลา พอมาถึงข้างล่าง (ชานชลาของสถานีรถไฟ)  โชคดีมากที่เห็นพระอาทิตย์ แต่เก็บภาพมาได้ไม่ดีเท่าไหร่


"มองผ่านเลนส์ ไม่สวยเท่ามองด้วยตา
เก็บไว้ด้วยภาพ ไม่อินเท่ากับเก็บไว้ในความทรงจำ"

9.30 น. ตามเวลา แท็กซี่ก็มาจอดรอที่หน้าโรงแรม (เป๊ะมาก)
รถแท็กซี่ที่จินตนาการไว้พังทลายลง!!



มันดีมากกกก เป็นรถตู้ 6 ที่นั่ง วันนี้นั่งไปไกลกว่าครั้งที่แล้วด้วย ราคา 2,500 ดอล รู้สึกว่าคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม
บอกลา Dafeng Hotel แล้วออกเดินทางไปยังสถานีต่อไป




ฟังเพลงไต้หวันเพราะๆ นั่งมองวิวข้างทาง >> มันเริ่ดอ่ะ ฟินกับบรรยากาศ!! ปิ่นหันไปบอกเพื่อนๆ ว่า “อยากจะซื้อ mp3 ไต้หวันกลับไปฟังที่เมืองไทย เดี๋ยววันพรุ่งนี้ตอนไปเดินตลาดต้องหาติดไม้ติดมือกลับบ้าน”



คนขับรถใจดีแวะจอดที่วิวสวยๆ โดยไม่ต้องร้องขอ >> จอดตั้ง 4 รอบ แถมช่วยถ่ายรูปให้ด้วย ถ่ายทุกกล้องที่เรามี แถมขอมือถือของเราไปถ่ายให้อีกด้วย โอ้ววว (พี่คนขับแวะจอดที่วัดเทพเจ้าจี้กงด้วย คนที่มาที่นี่เค้าขอพรเรื่องความร่ำรวย >> อ้อมถามพี่เค้า..ตอนที่ขับรถออกมาแล้ว >> ขอพรทันม้ายย??)

ระหว่างนั่งรถก็มองเห็นทะเลหมอก เห็นหมู่บ้านที่อยู่ในหุบเขา มองจากมุมข้างบน เป็นภาพที่สวยงามมากๆ


 แต่ถ้าเราไปยืนอยู่ที่หุบเขาข้างล่าง เราคงไม่เห็นความงามของมันเนอะ >> "บางอย่างก็ต้องยืนห่างออกมา ถึงจะเห็นความงดงามของมัน"

11:45 น. เราก็เดินทางมาถึงสถานี HSR Chiayi สิ่งแรกที่กุ้ยทำคือไปออกตั๋ว (กุ้ยจองออนไลน์และจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว) หลังจากนั้นเราก็ไปเข้าห้องน้ำ กินขนม (เรื่องกินเรื่องใหญ่) เก็บภาพตามประสา แล้วก็ไปรอรถที่ชานชลา 1 รถไฟมาถึง 13:07 น. และเดินทางไปถึง Taipei 14:36 น. เวลาเป๊ะอีกแล้ววว เริ่ดอ่ะ!!

จากนั้นเราก็เดินกลับ Flip Flop Hostel โดยจับป้าย Taipei City Mall เพื่อเอากระเป๋าไปเก็บก่อนออกมากิน Din Tai Fung ที่ Sogo (สถานี Zhongxiao Fuxing) ซึ่งตอนแรกเราเห็นป้าย Sogo ตรงทางออกที่ 1 ก็กรูกันไปเพื่อหา Din Tai Fung แต่เดินหายังไงก็ไม่เจอ เลยต้องถามคนแถวนั้น เค้าบอกว่าร้านอยู่อีกฝั่ง คือ Sogo Fuxing (สถานี Zhongxiao Fuxing ทางออกที่ 2) แวะเติมพลังก่อนไปอาบน้ำพุร้อน



พอกินเสร็จ เราก็เปลี่ยนใจ น้ำพ้งน้ำพุอะไรเราไม่สน ตอนนี้องค์ลง วิญญาณนักชอปเข้าสิงอีกแล้ว ตัดสินใจอย่างปัจจุบันทันด่วน “ป่ะ!! ไปเดินตลาด” ซะงั้น!!

เราใช้รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล แล้วต่อด้วยสายสีเขียว เพื่อไป Raohe St. Night Market (สถานี Shongshan ทางออกที่ 5) ออกจากชานชลา เดินมาทางขวาจนสุด ถนนทางเข้าตลาดจะอยู่ซ้ายมือ (จะมีวัดอยู่ใกล้ๆ ทางเข้าตลาดด้วย)
หลังจากชอปปิงที่ Raohe St. Night Market เรียบร้อย (ปิ่นได้ของฝากมาเยอะเลย) เราก็ไปต่อที่ Ximenting Market (สถานี Ximen ทางออกที่ 6)

เดินออกจากทางออกที่ 6 ตรงไปตามถนนจนเจอทางแยกที่พื้นเป็นวงกลม เดินผ่าน 7-11 ร้าน Sasa จะอยู่ขวามือ เห็น Mask วางเรียงรายที่หน้าร้าน เราก็ปรี่เข้าไปซื้อ >> ดีใจได้ของถูก 2 กล่อง 419 ดอล, 10 กล่อง 1995 ดอล (ถ้าซื้อ 12 กล่อง ราคาจะเป็น 1995 + 419 ดอล อืมมมม เค้าคิดราคาของเป็นแบบนี้หมดเลยแฮะ) หลังจากชอปร้านนี้ เราก็ไปชอปต่อร้านโน้น เพลิดเพลินกับข้าวของที่ละลานตา แล้วปิ่นก็แวะพักกินไอติม (ถ้วยเล็กนิดเดียว แต่ราคาไม่เล็กนะ ถ้าจำไม่ผิดราคาน่าจะอยู่ที่ 100 ดอล หรือ 120 ดอล นี่แหละค่า ถลุงเงินก่อนกลับ!!) แล้วเราก็แวะชิมไก่ HOT STAR  เต้าหู้เหม็น ชาไข่มุก (กิน กับชอป เป็นเรื่องหลักๆ สำหรับทริปนี้ไปเลย)
ซักพักเดินไปซื้อน้ำที่ร้าน 7-11 ที่ติดกับ Starbucks เจอ Mask ยี่ห้อเดียวกัน ราคากล่องละ 299 ดอล โปร 1 แถม 1 โอ้ววว ทุกคนเซงงงงง

พอชอปได้ที่ เราก็กลับมาที่ Hostel >> วันนี้ เจอ roommate ใหม่ ชื่อ เอ็น (en) ชื่อเต็ม โซ โน โกะ ทักทายกับ Roommate ใหม่เล็กน้อย เราก็สาละวนกับการจัดกระเป๋า พอเริ่มจัด เราก็เริ่มคิดหนัก!! เพราะ 30 โลที่ซื้อไว้สำหรับโหลด ต้องไม่พอแน่ๆ เลยตัดสินใจซื้อน้ำหนักเพิ่มอีก 20 โล รวมเป็น 50 โล (อย่าลืมนะคะ!! เราสามารถหิ้วขึ้นเครื่องได้อีก คนละ 10 โล ตอนนี้สัมภาระก็ร่วมๆ 100 โล เปรม!! อิอิ)

[วันที่ 5] Review : Real Life (Diary) in Taiwan 30 Dec 2015 - 5 Jan 2016 (7 days)

[วันที่ 4] Review : Real Life (Diary) in Taiwan 30 Dec 2015 - 5 Jan 2016 (7 days)

[วันที่ 3] Review : Real Life (Diary) in Taiwan 30 Dec 2015 - 5 Jan 2016 (7 days)

[วันที่ 2] Review : Real Life (Diary) in Taiwan 30 Dec 2015 - 5 Jan 2016 (7 days)

[วันที่ 1] Review : Real Life (Diary) in Taiwan 30 Dec 2015 - 5 Jan 2016 (7 days)

[วันที่ 0] Review : Real Life (Diary) in Taiwan 30 Dec 2015 - 5 Jan 2016 (7 days)

วันนึง เมื่อ 3-4 เดือนที่แล้วระหว่างนั่งรถกับเพื่อนไปเที่ยวที่สมุทรสาคร
กุ้ยก็เอ่ยขึ้นมาว่า "พวกแก...ตอนนี้มีตั๋วไปไต้หวันถูก ทั้งทริปเบ็ดเสร็จก็น่าจะไม่เกิน 2 หมื่น"
แค่นั้นแหละ ต่อมเที่ยวของทุกคนในรถเหมือนโดนฉุดกระชากมาจากห้วงเวลาแห่งการหลับไหล
แต่ละคนก็กุลีกุจอกัน "จอดจองเลยมั้ยแก เดี๋ยวจองไม่ทัน" ขณะที่กำลังขับรถอยู่บนทางด่วน
และนั่นก็คือการเข้ามาร่วมทริปแบบ "ตกกระไดพลอยโจน" ของปิ่น

Review : Real Life (Diary) in Taiwan 30 Dec 2015 - 5 Jan 2016 (7 days)

ทริปนี้เป็นทริปแบ็กแพ็คของ 5 สาว (ปิ่น (สาววาดสีน้ำมือสมัครเล่น) ปุ้ย กุ้ย หลิน อ้อม) ซึ่งมีกุ้ยเป็นเรี่ยวแรงสำคัญ ตั้งแต่หาข้อมูลภาพรวมทั้งหมด จัดทริป จองโรงแรม จองรถ ซื้อตั๋วทุกอย่าง ตั้งแต่เครื่องบิน ยันรถไฟ ทำวีซ่า และอีกจิปาถะที่ยังไม่ได้พูดถึง >> 
พูดอีกนัยนึงคือ แค่ปุ้ย ปิ่น หลิน อ้อม พาตัวเองไปถึงสนามบินให้ทันเวลา ทริปนี้ก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น และที่สำคัญเรามี 3 สาว (กุ้ย หลิน อ้อม) ที่เรียนภาษาจีนมาด้วย ทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปด้วยดีนะ!!

ตั้งใจจะเก็บกระเป๋านานแล้ว จนแล้วจนรอด ก็มาเก็บเอาคืนสุดท้ายก่อนเดินทางแทบทุกที
ตั้งใจว่าจะนอนให้เต็มอิ่ม เพราะคืนพรุ่งนี้อาจจะไม่ค่อยได้นอน ก็ปาไปถึงเที่ยงคืน แล้วก็ตื่นมาตอนตีสี่ครึ่ง
ชีวิต!! "โอ้ยยย ตื่นมาทำไมเนี่ย" ตะโกนเสียงดังในใจ
ตั้งใจจะศึกษาประวัติของสถานที่ที่จะไป จนถึงตอนนี้อีกไม่กี่ชั่วโมงที่ทริปกำลังจะเริ่ม ปิ่นก็ยังไม่ได้แตะข้อมูลสักนิด
(29 ธ.ค. 4:36)

หลงทาง ตั้งแต่ยังไม่ได้บิน
เดินทางมาถึงสนามบินตอน 16:00 น. 
แท็กซี่ก็ถามว่าจะให้จอดอาคาร 1 หรือ 2 >> เห็นป้ายของทุกสายการบินยกเว้น Tiger Air
ตะโกนถาม รปภ. เค้าบอกว่า "ไป Terminal ถัดไปเลยครับ" แท็กซี่เลยไปส่งตรงอาคาร 2
พอขนกระเป๋าเข้าไปในอาคารก็ยังหา Tiger Air ไม่เจอ จน Information บอกว่าต้องย้อนกลับไปอาคารแรก (ซะงั้น!!)
ผู้หญิงตัวเล็กๆ (มโน) ก็ต้องเข็นกระเป๋า 4 ใบ ย้อนกลับมาอาคารแรก
จนแล้วจนรอดก็ยังหาไม่เจอ เลยต้องพึ่งพา Information อีกที ("ทางอยู่ที่ปาก" คำๆ นี้ใช้ได้เสมอ)
Information บอกว่าปกติ Tiger Air ไปไทเปจะ Check in ช่อง H ด้านหลัง (มองไป...ก็เห็นป้าย smile นะ!!) 
ตอนนี้ก็รอแค่ให้สมาชิกมาให้ครบ พร้อมรอตั๋ว Passport Visa จากกุ้ย (กุ้ยดูแลให้ทุกคน) >> เริ่มใกล้จุดหมายเข้าไปทุกทีๆ แล้ว 
ปล. คนที่มาถึงคนแรกตลอดแบบกุ้ย มาสายทริปนี้นะคร้าบบ 
(29 ธ.ค. 16:36)

และแล้วก็ถึงไต้หวัน
เดินทางมาถึงสนามบิน (Taoyuan Airport) ตอนเกือบตี 1 (ไต้หวันเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) 
เหมือนได้ยินแว่วๆ ว่า แอร์ประกาศว่า "เป็นเวลาเกือบ 25 hours" ??
และตอนที่แอร์เดินตรวจเช็คก่อนเครื่องขึ้นและลง เค้าก็พูดภาษาจีนตลอดเลย 
เค้าคงภูมิใจในภาษาของตัวเอง (คิดเอง) หรือว่าหน้าเราเหมือนคนไต้หวัน ??
ป.ล. ระหว่างนั่งเครื่อง กุ้ยก็นั่งอ่านหนังสือ (หอบงานมาด้วย) >> กุ้ยเครียดเรื่องงาน
อ้อมเครียดเรื่องปาก >> นางเพิ่งไปฉีดโบท็อกซ์ มโนไปว่ายิ้มแล้วปากเบี้ยว นางจึงต้องระวังทุกครั้งที่ยิ้ม และเชครูปแทบทุกครั้งหลังถ่ายเสร็จ
อ่อ อีกอย่างเค้าปลุกเราเพื่อเตรียมตัวก่อนเครื่องลงเกือบหนึ่งชั่วโมง ขนาดกัปตันประกาศแล้วว่าเครื่องจะลงจอด ก็ยังอีกนาน...กว่าเครื่องจะลง >> ปิ่น กับอ้อม ที่กลัวตอนเครื่องขึ้นลง ต้องทำใจเก้อซะหลายรอบ

ตอนลงจากเครื่องเราก็กุลีกุจอกันมาก เพราะจะรีบไปผ่าน ตม. (ตรวจคนเข้าเมือง หรือ Immigration) แล้วจะรีบไปจองที่นอน แต่พอลงมาจริงๆ ปรากฏว่าทุกคนต้องไปขึ้นบัสเพื่อไป Terminal (ที่เรารีบกันเมื่อกี้ มีประโยชน์อันใด ตอบ!!)
ด่านแรกที่ทุกคนต้องผ่านก่อนเข้าไต้หวัน คือ ตม. ระหว่างเข้าแถวรอ เราก็ connect to the world ด้วย wifi free สนามบิน
ตอนแรกเราก็คุยกันว่าจะให้บางคนไปจองเบาะที่ Starbucks (จุดหมายสำหรับการพักผ่อนในคืนนี้) และอีกส่วนไปเอากระเป๋า 
แต่สุดท้ายกุ้ยบอกว่า "ไปพร้อมกันดีกว่า เพราะถ้าหลงจะลำบาก" ทั้ง 5 คน ก็เลยไปเก็บกระเป๋าที่โหลดไว้ แล้วก็เดินออกมาจากประตูพร้อมกัน (จุดนี้เรียก Arrival Hall) เพื่อหาทางไป Starbucks

หันซ้าย หันขวา ไม่รู้ว่าจะไปไหน โชคดีที่มีคุณลุง รปภ. ใจดีช่วยบอกทาง 
เค้ารู้ด้วยว่า เราจะไปหาที่นอนในสนามบิน (คงมีคนทำจนเป็นปกติ) 
เดินเลี้ยวซ้ายจากประตูทางออกไปทาง South Meeting Point จะเห็นป้าย Departure Hall เราก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ แล้วขึ้นลิฟท์ไปชั้น 3 ออกจากลิฟท์เดินไปตามทาง จุดแรกที่เจอเห็นโถงที่มีเบาะกลมๆ รีบไปจับจองที่นั่งเป็นอย่างแรก (เห็นคนนอนอยู่ประปราย) 
นั่งจองเบาะ เฝ้ากระเป๋า 2 คน ส่วนอีก 3 เดินตามหา Starbucks แต่ปรากฏว่าแถวนั้นเต็ม โชคดีที่เรามีที่นอนสำรองไว้ (แถว Starbucks ปุ้ยบอกว่าเป็นเบาะแนวตรง และไฟก็สลัวๆ ดูน่าจะนอนสบายกว่าที่เรานอน)

ก่อนนอนเราก็จัดการเอาโซ่ที่เตรียมมา มาคล้องกระเป๋าไว้รวมกัน ตามแผนที่กุ้ยวางมานานแล้ว (อันจิง เพื่อนๆ บอกว่าจะเอาโซ่พันกระเป๋าแล้วมาพันกับขาปิ่น รับรองว่าไม่มีใครเอาไปได้ >> ในสายตาเพื่อน ปิ่นเป็นผู้หญิงถึกมากกก เอ๊ะ!! หรือจะจริง??) 
กุญแจที่กุ้ยเอามาใหญ่กว่ารูของโซ่ สรุปคือล็อคไม่ได้ เอาโซ่พันๆ ไปมาแค่นั้น ตอนนี้ "มีโซ่" กับ "ไม่มี" ต่างกันตรงไหนน้าาา??

บริเวณเบาะหน้าร้านตามรูป สามารถนอนได้ 2 คน แต่เมื่อยหน่อย (ได้แบ่งที่ให้คนอื่น) นอนคนเดียวจะสบายมากเบาะนุ่ม น่านอน



ตอนเริ่มนอนก็รู้สึกเย็นเล็กน้อย แต่ก็พอทนนอนได้ กระเป๋าของมีค่าก็เอามานอนกอดไว้และทับลงไป (กุ้ยแนะนำ เพื่อกันคนมาขโมย)โคมไฟที่อยู่ตรงเบาะส่องหน้าตลอด (แค่นี้จิ๊บๆ ขัดขวางการนอนของปิ่นไม่ได้ค่าา) แถมยังได้ยินเสียงประกาศให้ขึ้นเครื่องเป็นพักๆ แต่เสียงนั้นก็ถูกกลืนไปกับความฝันของเรา เผลอหลับไปไม่รู้ตัว (กุ้ยขู่ว่ายังไงก็ต้องหลับ ไม่งั้นวันแรกจะเที่ยวไม่สนุก) 

สะดุ้งตื่นอีกทีตอนตี 4 ครึ่ง หนาวมาก... ไปคุ้ยกระเป๋า ปลดโซ่ที่พันออกไป หาผ้าเช็ดตัวมาห่มขา(ถ้าจะมานอนที่นี่ ควรเตรียมผ้าขนหนูผืนใหญ่ๆ มาด้วย) นอนไปได้อีกซักนิด 6 โมง พนักงานก็มาเปิดร้าน ด้วยความหน้าบาง พวกเราก็เลยไม่อาจทนนอนต่อไป 
ลุกไปล้างหน้า แปรงฟัน แต่งหน้า ซึ่งโซนที่เราอยู่ก็มีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ ด้วย >> สบายไปหลายอย่าง
ระหว่างที่นั่งแต่งหน้าตรงเบาะ ก็เห็นคนเดินเป็นแถวยาวๆ วนไปมา รู้เลยว่า เค้ากำลังรอผ่าน ตม. เพื่อออกนอกประเทศ บอกกับเพื่อนว่า "เดี๋ยววันกลับเราก็คงต้องมาเข้าแถวตรงนี้"



แต่งหน้าเสร็จก็ลงมาที่ Arrival Hall แล้วลงบันไดเลื่อนมา 1 ชั้น ที่ชั้น Ground ซื้อตั๋วขึ้นรถบัส (กุ้ยจัดการทุกสิ่ง)
แวะหาซื้ออะไรรองท้องที่มินิมาร์ทแถวนั้น >> ซึ่งพอมีเวลาก่อนรถออก เราก็ไป Register wifi free โดยการเดินย้อนขึ้นไปที่ Arrival Hall >> บริเวณ register จะอยู่ตรง Arrival Hall หลังจากที่เราเดินออกจากประตูด้านขวามือ ที่เคาน์เตอร์ชื่อ Tourist Service Center เพียงแค่ยื่น Passport ก็สามารถ Register ได้แล้ว




เมื่อเสร็จภารกิจก็ลงไปรอบัสที่ชานชาลา




อย่างที่เค้าพูดไว้ "ความสุข" ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่อยู่ที่ระหว่างทาง
และ "ความสุข" ของเรากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ป.ล. 1. นี่คือการรีวิวครั้งแรกในชีวิต ถ้าผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ
       2. ปิ่นพยายามนั่งเขียนรีวิวระหว่างการเดินทางเพื่อให้เสร็จเร็วๆ แต่ตารางเที่ยวของเราแน่นมาก เลยเขียนได้ไม่ครบถ้วน >> ต้องมาเขียนเติมข้อมูล และทยอยเติมรูปลงไปหลังจากที่จบทริป อาจต้องใช้เวลานิดนึงในการทยอยอัพเดตข้อมูลของแต่ละวันนะค้า เพราะกลับมางานก็รัดตัวมากๆๆ เลยค่า

Thursday, January 7, 2016

[อังกฤษ 19] 14 English expressions about SLEEP

เคล็ดลับภาษาอังกฤษที่ปิ่นเอามาฝากวันนี้ คือ 14 English expressions about SLEEP นั่นคือ 14 ประโยคที่พูดเกี่ยวกับการนอนค่า ซึ่งการนอนเป็นสิ่งที่ปิ่นชื่นชอบมากเลยนะคะ ดังนั้นประโยคเหล่านี้ก็จะเป็นประโยคที่ปิ่นจะได้ใช้ และสำหรับหลายคนที่ชื่นชอบการนอนเหมือนกันก็สามารถเอาไปใช้ได้ค่า เรามาเริ่มกันเลยนะคะ
4 อันแรกจะพูดถึง Good Sleep คือ การนอนหลับสนิทนะคะ
1.       I am out like a light. (be out like a light) คือ ประมาณเหมือนกับปิดไฟปุ๊บหลับเลย คือเป็นคนที่หลับง่ายมาก เช่น After I go to the gym, I’m very tired. As soon as I get in to my bed, I am out like a light. หลังจากที่ออกกำลังกาย และเหนื่อยมาก เราก็หลับเป็นตายอะไรแบบนี้นะคะ
2.       I sleep like a log. แปลว่า หลับลึกมาก ไม่มีอะไรที่จะมาปลุกเราให้ตื่นได้ ตัวอย่างประโยค Last night, I felt so comfortable, I slept like a log.
3.       I sleep like a baby. >> sleep like a baby ความหมายเดียวกับ sleep like a log คือ หลับได้ดี หลับได้ลึกนะคะ
4.       I’m a deep sleeper. (be a deep sleeper) คือ หลับสนิท ไม่มีทางที่จะตื่นขึ้นมากลางดึกเลย

อันต่อมาจะพูดถึง Bad Sleep คือ การนอนหลับไม่สนิทนะคะ
5.       I toss(ed) and turn(ed) all night. อันนี้เป็นสำนวนที่ใช้บ่อยมากนะคะ ถ้าเป็นภาษาไทยก็คือ นอนพลิกตัวไปมาทั้งคืน ก็คือนอนไม่หลับนั่นเองค่า
6.       I didn’t sleep a wink. (a wink คือ การหลับตา) จากประโยคนี้แปลว่า นอนไม่หลับเลยยย
7.       I’m a light sleeper. ประโยคนี้ตรงข้ามกับ I’m a deep sleeper. คือ มีการสะดุ้งตื่นเกือบทั้งคืน เวลาที่ได้ยินเสียงอะไรดังขึ้นมา ก็สะดุ้งตื่นอีก >> คือ สะดุ้งตื่นได้ง่ายกลางดึกนั่นเองค่า
8.       I have insomnia. คือ นอนไม่หลับเลย อาจจะมาจากโรค หรืออะไรที่ทำให้นอนไม่หลับ
9.       I’m an insomniac. ประโยคนี้ความหมายเดียวกับประโยคที่ 8

และประโยคที่ใช้พูดถึงการนอนหลับทั่วๆ ไป
10.   sleep in : I sleep in on weekends. แปลว่า ตื่นสายในช่วงสุดสัปดาห์นะคะ ซึ่งปกติเราอาจจะตื่น 6 โมง แต่พอเป็นเสาร์อาทิตย์เราอาจจะตื่นประมาณ 10 โมง ก็จะใช้ว่า I sleep in on weekends. ค่า
11.   sleep over/stay the night ตัวอย่างเช่น เราไปที่บ้านเพื่อน แล้วก็นอนที่บ้านเพื่อน โดยไม่ได้กลับมานอนที่บ้านตัวเอง เราก็จะใช้ประโยคนี้นะคะ อีกตัวอย่างนึงถ้าเพื่อนมาดื่มเหล้าที่บ้านเรา แล้วเธอก็เมามาก เราอาจจะถามเธอว่า Want to sleep over? คือ นอนค้างที่นี่มั้ย ประมาณนั้นค่า ถ้าเป็นแค่คืนเดียวเราจะใช้ stay the night
12.   hit the hay/hit the sack : I’m going to hit the hay. >> hay/sack เป็นอีกทางนึงที่พูดถึง sleep ค่ะ Every night, I sleep. Every night, I hit the hay. Every night, I hit the sack.
13.   get some shuteye : I’m going to get some shuteye. >> shuteye ก็เหมือนกันนะคะ มีความหมายว่าหลับ
14.   sleep on it : Let’s sleep on it. >> เวลาที่เรามีเรื่องให้ต้องตัดสินใจ แทนที่เราจะต้องตัดสินใจคืนนั้น เราก็รอจนกว่าจะถึงวันถัดไป >> บางทีเรื่องนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่ยากต่อการตัดสินใจ และเรายังไม่มั่นใจ แทนที่เราจะตัดสินใจไปเลยทันที เราก็ต้องการเวลาในการตัดสินใจ เราก็จะพูดว่า I’m going to sleep on it. เพื่อว่าเราจะได้มีเวลาในการตัดสินใจ และจะตัดสินใจอีกทีในวันพรุ่งนี้



และสำหรับคำศัพท์เกี่ยวกับ อย. หลังจากที่สัปดาห์สิ้นปีได้พูดถึงชื่อกอง พศ. ไปแล้วนะคะ วันนี้เรามาดูชื่อหน่วยงานอื่นบ้าง สำหรับสำนักยา และสำนักอาหาร หลายๆ คนก็อาจจะรู้กันบ้างแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้นะคะ ชื่อภาษาอังกฤษของทั้งสองสำนักนี้ ก็คือ Bureau of Drug Control และ  Bureau of Food ค่า

ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=KP_dMZEdzls&feature=youtu.be
Google