วันนึง
เมื่อ 3-4 เดือนที่แล้วระหว่างนั่งรถกับเพื่อนไปเที่ยวที่สมุทรสาคร
กุ้ยก็เอ่ยขึ้นมาว่า
"พวกแก...ตอนนี้มีตั๋วไปไต้หวันถูก ทั้งทริปเบ็ดเสร็จก็น่าจะไม่เกิน 2 หมื่น"
แค่นั้นแหละ
ต่อมเที่ยวของทุกคนในรถเหมือนโดนฉุดกระชากมาจากห้วงเวลาแห่งการหลับไหล
แต่ละคนก็กุลีกุจอกัน
"จอดจองเลยมั้ยแก เดี๋ยวจองไม่ทัน" ขณะที่กำลังขับรถอยู่บนทางด่วน
และนั่นก็คือการเข้ามาร่วมทริปแบบ
"ตกกระไดพลอยโจน" ของปิ่น
Review : Real Life
(Diary) in Taiwan 30 Dec 2015 - 5 Jan 2016 (7 days)
ทริปนี้เป็นทริปแบ็กแพ็คของ
5 สาว
(ปิ่น (สาววาดสีน้ำมือสมัครเล่น) ปุ้ย กุ้ย หลิน อ้อม)
ซึ่งมีกุ้ยเป็นเรี่ยวแรงสำคัญ ตั้งแต่หาข้อมูลภาพรวมทั้งหมด จัดทริป จองโรงแรม
จองรถ ซื้อตั๋วทุกอย่าง ตั้งแต่เครื่องบิน ยันรถไฟ ทำวีซ่า
และอีกจิปาถะที่ยังไม่ได้พูดถึง >>
พูดอีกนัยนึงคือ
แค่ปุ้ย ปิ่น หลิน อ้อม พาตัวเองไปถึงสนามบินให้ทันเวลา
ทริปนี้ก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น และที่สำคัญเรามี 3 สาว (กุ้ย
หลิน อ้อม) ที่เรียนภาษาจีนมาด้วย ทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปด้วยดีนะ!!
ตั้งใจจะเก็บกระเป๋านานแล้ว
จนแล้วจนรอด ก็มาเก็บเอาคืนสุดท้ายก่อนเดินทางแทบทุกที
ตั้งใจว่าจะนอนให้เต็มอิ่ม
เพราะคืนพรุ่งนี้อาจจะไม่ค่อยได้นอน ก็ปาไปถึงเที่ยงคืน แล้วก็ตื่นมาตอนตีสี่ครึ่ง
ชีวิต!!
"โอ้ยยย ตื่นมาทำไมเนี่ย" ตะโกนเสียงดังในใจ
ตั้งใจจะศึกษาประวัติของสถานที่ที่จะไป
จนถึงตอนนี้อีกไม่กี่ชั่วโมงที่ทริปกำลังจะเริ่ม ปิ่นก็ยังไม่ได้แตะข้อมูลสักนิด
(29 ธ.ค. 4:36)
หลงทาง
ตั้งแต่ยังไม่ได้บิน
เดินทางมาถึงสนามบินตอน
16:00 น.
แท็กซี่ก็ถามว่าจะให้จอดอาคาร
1 หรือ 2
>> เห็นป้ายของทุกสายการบินยกเว้น Tiger Air
ตะโกนถาม
รปภ. เค้าบอกว่า "ไป Terminal ถัดไปเลยครับ" แท็กซี่เลยไปส่งตรงอาคาร 2
พอขนกระเป๋าเข้าไปในอาคารก็ยังหา
Tiger Air ไม่เจอ จน Information บอกว่าต้องย้อนกลับไปอาคารแรก
(ซะงั้น!!)
ผู้หญิงตัวเล็กๆ
(มโน) ก็ต้องเข็นกระเป๋า 4 ใบ
ย้อนกลับมาอาคารแรก
จนแล้วจนรอดก็ยังหาไม่เจอ
เลยต้องพึ่งพา Information อีกที ("ทางอยู่ที่ปาก" คำๆ นี้ใช้ได้เสมอ)
Information บอกว่าปกติ Tiger Air ไปไทเปจะ Check in ช่อง H ด้านหลัง (มองไป...ก็เห็นป้าย smile นะ!!)
ตอนนี้ก็รอแค่ให้สมาชิกมาให้ครบ
พร้อมรอตั๋ว Passport Visa จากกุ้ย (กุ้ยดูแลให้ทุกคน) >> เริ่มใกล้จุดหมายเข้าไปทุกทีๆ
แล้ว
ปล.
คนที่มาถึงคนแรกตลอดแบบกุ้ย มาสายทริปนี้นะคร้าบบ
(29 ธ.ค. 16:36)
และแล้วก็ถึงไต้หวัน
เดินทางมาถึงสนามบิน
(Taoyuan Airport) ตอนเกือบตี 1 (ไต้หวันเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง)
เหมือนได้ยินแว่วๆ
ว่า แอร์ประกาศว่า "เป็นเวลาเกือบ 25 hours" ??
และตอนที่แอร์เดินตรวจเช็คก่อนเครื่องขึ้นและลง
เค้าก็พูดภาษาจีนตลอดเลย
เค้าคงภูมิใจในภาษาของตัวเอง
(คิดเอง) หรือว่าหน้าเราเหมือนคนไต้หวัน ??
ป.ล.
ระหว่างนั่งเครื่อง กุ้ยก็นั่งอ่านหนังสือ (หอบงานมาด้วย) >> กุ้ยเครียดเรื่องงาน,
อ้อมเครียดเรื่องปาก >> นางเพิ่งไปฉีดโบท็อกซ์
มโนไปว่ายิ้มแล้วปากเบี้ยว นางจึงต้องระวังทุกครั้งที่ยิ้ม และเชครูปแทบทุกครั้งหลังถ่ายเสร็จ
อ่อ
อีกอย่างเค้าปลุกเราเพื่อเตรียมตัวก่อนเครื่องลงเกือบหนึ่งชั่วโมง
ขนาดกัปตันประกาศแล้วว่าเครื่องจะลงจอด ก็ยังอีกนาน...กว่าเครื่องจะลง >> ปิ่น กับอ้อม
ที่กลัวตอนเครื่องขึ้นลง ต้องทำใจเก้อซะหลายรอบ
ตอนลงจากเครื่องเราก็กุลีกุจอกันมาก
เพราะจะรีบไปผ่าน ตม. (ตรวจคนเข้าเมือง หรือ Immigration) แล้วจะรีบไปจองที่นอน แต่พอลงมาจริงๆ
ปรากฏว่าทุกคนต้องไปขึ้นบัสเพื่อไป Terminal (ที่เรารีบกันเมื่อกี้
มีประโยชน์อันใด ตอบ!!)
ด่านแรกที่ทุกคนต้องผ่านก่อนเข้าไต้หวัน
คือ ตม. ระหว่างเข้าแถวรอ เราก็ connect
to the world ด้วย wifi free สนามบิน
ตอนแรกเราก็คุยกันว่าจะให้บางคนไปจองเบาะที่
Starbucks (จุดหมายสำหรับการพักผ่อนในคืนนี้) และอีกส่วนไปเอากระเป๋า
แต่สุดท้ายกุ้ยบอกว่า "ไปพร้อมกันดีกว่า เพราะถ้าหลงจะลำบาก" ทั้ง 5
คน ก็เลยไปเก็บกระเป๋าที่โหลดไว้ แล้วก็เดินออกมาจากประตูพร้อมกัน
(จุดนี้เรียก Arrival Hall) เพื่อหาทางไป
Starbucks
หันซ้าย
หันขวา ไม่รู้ว่าจะไปไหน โชคดีที่มีคุณลุง รปภ. ใจดีช่วยบอกทาง
เค้ารู้ด้วยว่า
เราจะไปหาที่นอนในสนามบิน (คงมีคนทำจนเป็นปกติ)
เดินเลี้ยวซ้ายจากประตูทางออกไปทาง
South Meeting Point จะเห็นป้าย Departure Hall เราก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ
แล้วขึ้นลิฟท์ไปชั้น 3 ออกจากลิฟท์เดินไปตามทาง
จุดแรกที่เจอเห็นโถงที่มีเบาะกลมๆ รีบไปจับจองที่นั่งเป็นอย่างแรก
(เห็นคนนอนอยู่ประปราย)
นั่งจองเบาะ
เฝ้ากระเป๋า 2 คน
ส่วนอีก 3 เดินตามหา Starbucks แต่ปรากฏว่าแถวนั้นเต็ม
โชคดีที่เรามีที่นอนสำรองไว้ (แถว Starbucks ปุ้ยบอกว่าเป็นเบาะแนวตรง
และไฟก็สลัวๆ ดูน่าจะนอนสบายกว่าที่เรานอน)
ก่อนนอนเราก็จัดการเอาโซ่ที่เตรียมมา
มาคล้องกระเป๋าไว้รวมกัน ตามแผนที่กุ้ยวางมานานแล้ว (อันจิง เพื่อนๆ
บอกว่าจะเอาโซ่พันกระเป๋าแล้วมาพันกับขาปิ่น รับรองว่าไม่มีใครเอาไปได้ >> ในสายตาเพื่อน
ปิ่นเป็นผู้หญิงถึกมากกก เอ๊ะ!!
หรือจะจริง??)
กุญแจที่กุ้ยเอามาใหญ่กว่ารูของโซ่
สรุปคือล็อคไม่ได้ เอาโซ่พันๆ ไปมาแค่นั้น ตอนนี้
"มีโซ่" กับ "ไม่มี" ต่างกันตรงไหนน้าาา??
บริเวณเบาะหน้าร้านตามรูป
สามารถนอนได้ 2 คน
แต่เมื่อยหน่อย (ได้แบ่งที่ให้คนอื่น) นอนคนเดียวจะสบายมากเบาะนุ่ม น่านอน
ตอนเริ่มนอนก็รู้สึกเย็นเล็กน้อย
แต่ก็พอทนนอนได้ กระเป๋าของมีค่าก็เอามานอนกอดไว้และทับลงไป (กุ้ยแนะนำ
เพื่อกันคนมาขโมย)โคมไฟที่อยู่ตรงเบาะส่องหน้าตลอด (แค่นี้จิ๊บๆ ขัดขวางการนอนของปิ่นไม่ได้ค่าา)
แถมยังได้ยินเสียงประกาศให้ขึ้นเครื่องเป็นพักๆ
แต่เสียงนั้นก็ถูกกลืนไปกับความฝันของเรา เผลอหลับไปไม่รู้ตัว
(กุ้ยขู่ว่ายังไงก็ต้องหลับ ไม่งั้นวันแรกจะเที่ยวไม่สนุก)
สะดุ้งตื่นอีกทีตอนตี
4 ครึ่ง
หนาวมาก... ไปคุ้ยกระเป๋า ปลดโซ่ที่พันออกไป หาผ้าเช็ดตัวมาห่มขา(ถ้าจะมานอนที่นี่
ควรเตรียมผ้าขนหนูผืนใหญ่ๆ มาด้วย) นอนไปได้อีกซักนิด 6 โมง
พนักงานก็มาเปิดร้าน ด้วยความหน้าบาง พวกเราก็เลยไม่อาจทนนอนต่อไป
ลุกไปล้างหน้า แปรงฟัน แต่งหน้า ซึ่งโซนที่เราอยู่ก็มีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ
ด้วย >> สบายไปหลายอย่าง
ระหว่างที่นั่งแต่งหน้าตรงเบาะ
ก็เห็นคนเดินเป็นแถวยาวๆ วนไปมา รู้เลยว่า เค้ากำลังรอผ่าน ตม. เพื่อออกนอกประเทศ
บอกกับเพื่อนว่า "เดี๋ยววันกลับเราก็คงต้องมาเข้าแถวตรงนี้"
แต่งหน้าเสร็จก็ลงมาที่
Arrival Hall แล้วลงบันไดเลื่อนมา 1 ชั้น ที่ชั้น Ground ซื้อตั๋วขึ้นรถบัส (กุ้ยจัดการทุกสิ่ง)
แวะหาซื้ออะไรรองท้องที่มินิมาร์ทแถวนั้น >> ซึ่งพอมีเวลาก่อนรถออก
เราก็ไป Register wifi free โดยการเดินย้อนขึ้นไปที่ Arrival
Hall >> บริเวณ register จะอยู่ตรง Arrival
Hall หลังจากที่เราเดินออกจากประตูด้านขวามือ ที่เคาน์เตอร์ชื่อ Tourist
Service Center เพียงแค่ยื่น Passport ก็สามารถ
Register ได้แล้ว
เมื่อเสร็จภารกิจก็ลงไปรอบัสที่ชานชาลา
5
อย่างที่เค้าพูดไว้
"ความสุข" ไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่อยู่ที่ระหว่างทาง
และ
"ความสุข" ของเรากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ป.ล.
1. นี่คือการรีวิวครั้งแรกในชีวิต ถ้าผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ
2. ปิ่นพยายามนั่งเขียนรีวิวระหว่างการเดินทางเพื่อให้เสร็จเร็วๆ
แต่ตารางเที่ยวของเราแน่นมาก เลยเขียนได้ไม่ครบถ้วน >> ต้องมาเขียนเติมข้อมูล และทยอยเติมรูปลงไปหลังจากที่จบทริป
อาจต้องใช้เวลานิดนึงในการทยอยอัพเดตข้อมูลของแต่ละวันนะค้า เพราะกลับมางานก็รัดตัวมากๆๆ
เลยค่า
No comments:
Post a Comment